ยอดพิมพ์จำหน่ายนิตยสาร ชาร์ลี เอ็บโด ของฝรั่งเศส พุ่งไปถึง 9 ล้าน เมื่อสองสามวันที่แล้ว และไม่แน่ว่า วันเวลายิ่ง ผ่านไปยอดจำหน่ายที่ขายดิบขายดีในหมู่ชาวคริสต์จะยิ่งเพิ่มขึ้น

แน่นอน...เมื่อการ์ตูนล้อเลียนศาสดาของศาสนามุสลิม...ที่มาของการบุกฆ่า 17 ชีวิต ถูกย้ำซ้ำ...ปฏิกิริยาต่อต้านจากชาวมุสลิม ก็ยิ่งแพร่หลายบานปลาย

เป็นรูปธรรม ถึงขั้นฆ่ากันในยุโรป เป็นนามธรรมคือความไม่พอใจ กว้างขวางยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมในหมู่ประเทศมุสลิม ทั้งตะวันออกกลาง ทั้งแอฟริกา

ธงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ที่ฝ่ายฝรั่งชู...ในสายตาชาวมุสลิม เป็นธง...ประกาศสงคราม

หรือนี่คือ จุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด...ครั้งที่ 9

นิยามคำ “สงครามครูเสด” อยู่ในกรอบ สงครามระหว่างศาสนา และไม่ได้จำกัดแค่ต่างศาสนา อาจหมายถึงสงครามระหว่าง ศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกาย

แต่โดยทั่วไปก็เข้าใจกันว่า สงครามครูเสด เป็นสงครามครั้งใหญ่ ระหว่างชาวมุสลิม และชาวคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ชาวมุสลิมเรียกว่าสงครามฟีสะบีลิ้ลลา

ชาวคริสต์เรียกว่า สงครามไม้กางเขน ซึ่งมาจากคำว่า “ครอส” เพราะเชื่อว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (เยรูซาเล็ม) เดิมทีเป็นของชาวคริสต์ แต่ถูกชาวมุสลิมรุกราน

สงครามครูเสดครั้งแรก ค.ศ.1096 อัศวิน 5 หมื่นคน ส่วนใหญ่ จากฝรั่งเศสนำโดย โรเบิร์ต แห่งนอร์มังดี เดินทางไกล 2 พันไมล์ ค.ศ.1099 ก็ถึงด้านนอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม เอาชนะฝ่ายมุสลิมได้

และฆ่ามุสลิมทุกคนที่พบสงครามครั้งต่อไป ค.ศ.1144 มุสลิมยึดเมืองอีเดสสา ได้เยรูซาเล็มไปครอง พวกยุโรปต้องการเยรูซาเล็มคืน ส่งกองทัพไปแต่รบแพ้

ค.ศ.1187 มุสลิมยิ่งเข้มแข็งเพราะครอบครองเยรูซาเล็ม เศาะลาฮุดดิน (ซาลาดิน) ชัยชนะครั้งนั้น มุสลิมต้องการฆ่าชาวคริสต์ทั้งหมดในเมือง แต่ซาลาดินไม่อนุญาต

...

สงครามครูเสดครั้งที่ 3 คริสเตียน นำโดยกษัตริย์ริชาร์ด ใจสิงห์ ต้องการขับไล่ซาลาดิน รบกันหลายครั้ง ริชาร์ด ใจสิงห์ เอาชนะไม่ได้ ค.ศ.1192 ทำได้แค่ “หย่าศึก” ทำสัญญากับซาลาดิน ขอให้ไม่ฆ่าชาวคริสต์ทุกคนในเมือง

บทสรุปสงครามครูเสด 8 ครั้ง ในเวลากว่า 200 ปี มีผู้คนล้มตายไปมากกว่า 7 ล้านคน

ผลสุดท้าย เยรูซาเล็ม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตกเป็นของฝ่ายมุสลิม

ในขณะที่แว่นแคว้นมุสลิมมากมาย ตกอยู่ในครอบครองของพวกอัศวิน ชาวยุโรป เป็นเหตุให้คริสเตียนกับมุสลิม ผสมกลมกลืนกันด้านวัฒนธรรม

คริสเตียน ประทับใจในศิลปะการตกแต่งของมุสลิม เช่น พรม เครื่องใช้กระเบื้องเคลือบ ทั้งยังชอบอาหารรสชาติใหม่ๆ เช่น ผลแอปริคอท มะเดื่อ น้ำตาล มะนาว เรียนรู้การใช้ผ้าฝ้าย และผ้าไหมทำเสื้อผ้า

เรียนรู้เรื่องการใช้เสาและคานรูปโค้ง แบกรับน้ำหนักจากสิ่งปลูกสร้าง และยังได้เรียนรู้วิธีการป้องกันปราสาท โดยการใช้หอคอยทรงกลม และช่องทางเดินกำแพง ที่ทำให้คนที่อยู่ข้างบนยิงธนู หรือโยนหินเข้าใส่ศัตรูผู้โจมตี

การผสมกลมกลืนระหว่างคนสองศาสนาผู้รู้ชี้ว่าฝ่ายมุสลิม ไม่ค่อยได้อะไรจากฝ่ายคริสเตียนนัก นอกจากการค้าที่เพิ่มขึ้นในอิตาลี อาวุธที่ดีขึ้น สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้เท่ากัน คือบทเรียนทางศาสนา

แม้ศาสดา และคำสอนจะต่างกัน แต่ต้องเคารพสิทธิพื้นฐานศรัทธา ของกันและกัน ไม่ละเมิดกันและกัน

คำอ้าง...เสรีภาพนั้น ฟังได้ใช้ได้สิทธิศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่านั้น ไม่ควรเผลอเอาไปใช้กับศรัทธาความเชื่อด้านศาสนา

เสรีภาพทางศาสนาเกิดขึ้นไม่ได้ หากเกิดขึ้นที่ไหน สงครามก็จะเกิดตามมา...ในที่นั้น.

กิเลน ประลองเชิง