เมื่อวันที่ 19 ม.ค. เวลา 06.20 น. แวดวงกองทัพไทยและการเมืองไทย สูญเสียอดีตนายทหารระดับสูงและอดีตนักการเมืองอาวุโส คือ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก หรือ ‘บิ๊กซัน’ อดีตรองนายกฯ และ รมช.กลาโหม สมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีต ผบ.สส.และ ผบ.ทบ. สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้ก่อตั้งพรรคปวงชนชาวไทย หรือพรรคชาติพัฒนา หลังเข้ารักษาตัวเป็นเวลานานจากโรคทางสมองและอาการติดเชื้อทางปอด กระทั่งเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว จากไปอย่างไม่มีวันกลับในวัย 89 ปี ที่รพ.พระมงกุฎเกล้า

กระนั้น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงขอเปิดประวัติผลงานอันเป็นที่สร้างชื่อของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก จากอดีตจนถึงแก่อนิจกรรม...

เปิดประวัติ ‘บิ๊กซัน’

พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก มีชื่อเรียกโดยสื่อมวลชนว่า ‘บิ๊กซัน’ เกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2468 เป็นบุตรของ พ.ท.พิณ และนางสาคร กำลังเอก สมรสกับ ท่านผู้หญิงประภาศรี วีณิน (เสียชีวิต) มีบุตร 3 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน และมีภรรยาใหม่ชื่อ พรสรร พรประภา

...

พล.อ.อาทิตย์ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนพรหมวิทยามูล เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร และโรงเรียนนายร้อย จปร. รุ่น 2487 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ 4 วิทยาลัยการทัพอากาศ ชุดที่ 5 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 22

เริ่มเข้ารับราชการทหารประจำกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 4 จ.เพชรบุรี ต่อมาได้รับตำแหน่งสำคัญ คือ ผู้บังคับกองพันบริการ มณฑลทหารบกที่ 1 ผู้บังคับการ กรมผสมที่ 23 ผู้บัญชาการกองพลที่ 3 ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก รักษาราชการแม่ทัพภาคที่ 1 ผู้บัญชาการทหารบก ผู้อำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ทั่วไป ผู้อำนวยการศูนย์อาสาป้องกันชาติกลาง ผู้อำนวยการรักษาความสงบภายใน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด คนที่ 10 และเกษียณ 1 ต.ค. 2529 นอกจากนี้ พล.อ.อาทิตย์ ยังได้ไปรับราชการพิเศษในสงครามมหาเอเชียบูรพา สงครามเกาหลีเหนือ และสงครามเวียดนาม อีกด้วย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับ ได้แก่ เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย, เหรียญชัยสมรภูมิ (เกาหลี), เบญจมาภรณ์ช้างเผือก และเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ 5, จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย, เหรียญจักรมาลา, จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก, ตริตาภรณ์มงกุฎไทย, ตริตาภรณ์ช้างเผือก และเหรียญพิทักษ์เสรีชน (ชั้นที่ 2), เหรียญชัยสมรภูมิ (เวียดนาม), ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย, ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก และตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ, ประถมาภรณ์มงกุฎไทย, ทุติยจุลจอมเกล้า, เหรียญชัยสมรภูมิ (เอเชีย), มหาวชิรมงกุฎ, เหรียญพิทักษ์เสรีชน (ชั้นที่ 1) โยธิน เหรียญราชการชายแดน มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ, เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีชั้น 3 โยธิน

วีรบุรุษแห่งสะพานมัฆวาน

พล.อ.อาทิตย์ ซึ่งมียศร้อยเอก ดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ร้อยอาวุธหนัก กองพันทหารราบที่ 1 ได้รับคำสั่งให้นำกำลังมาสกัดกั้นคลื่นมหาชนที่ออกมาประท้วงรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม บริเวณสะพานมัฆวาน เกิดการประจัญหน้ากันระหว่างประชาชนกับทหาร จึงถูกประชาชนใช้ก้อนอิฐ ก้อนหิน ขว้างปาใส่ แต่ได้รับคำสั่งมาให้ยับยั้งเท่านั้น จึงสั่งทหารถอดกระสุนออกจากรังเพลิงทั้งหมดแล้วเดินเข้าไปเจรจากับกลุ่มนักศึกษา จนในที่สุดก็ไม่เกิดเหตุการณ์ปะทะและเสียเลือดเสียเนื้อ ประชาชนหยุดการกระทำนั่งรอคอยคำสั่งรัฐบาล พอเรื่องราวสงบลง สื่อมวลชนจึงตั้งสมญานามให้เป็น ‘วีรบุรุษแห่งสะพานมัฆวาน’

ปราบ ‘กบฏเมษาฮาวาย’ นั่งควบทัพบก & ทัพไทย

กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย เป็นความพยายามรัฐประหารระหว่างวันที่ 1-3 เม.ย. 2524 เพื่อยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยมีผู้ก่อการประกอบด้วยนายทหารซึ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย จปร. รุ่น 7 หรือรุ่นยังเติร์ก พร้อมกันนี้ยังได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบสภา ถอดถอนคณะรัฐมนตรี ประกาศแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง พร้อมกับเปิดเพลงปลุกใจออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยตลอดเวลา ขณะที่ตามสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ มีการตั้งบังเกอร์ กระสอบทราย และมีกำลังทหารพร้อมอาวุธรักษาการณ์อย่างเข้มงวด พร้อมทั้งมีการอัญเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสาเป็นสัญลักษณ์ด้วย

ทางฝ่ายรัฐบาล โดย พล.อ.เปรม ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา ตั้งกองบัญชาการตอบโต้ และใช้อำนาจปลดผู้ก่อการออกจากตำแหน่งทางทหาร โดยได้กำลังสนับสนุนจาก พล.อ.อาทิตย์ รองแม่ทัพภาคที่ 2

ภายหลังเหตุการณ์ พล.อ.อาทิตย์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญคุมกำลังทหารต่อต้าน ได้รับความไว้ใจจาก พล.อ.เปรม อย่างมาก ถึงขั้นได้เลื่อนยศเป็นพลโท ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกองกำลังรักษาพระนคร และเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ใน 6 เดือนต่อมา ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ จารุมณี ที่เกษียณอายุราชการ จากนั้นดำรงตำแหน่ง ผบ.สส. ควบอีกตำแหน่ง ต่อจาก พล.อ.สายหยุด เกิดผล

เปิดปาก ‘พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี’ บุคคลผู้เคยลอบสังหาร ‘พี่ซัน’ ถึง 3 ครั้ง

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เปิดเผยกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า ช่วงที่ พล.อ.พัลลภ เป็นกบฏ และได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษนั้นได้กลับมาอาศัยอยู่ที่ประเทศไทย ประกอบกับมีเพื่อนยกที่ดินบนเขาใหญ่ประมาณ 20 ไร่ ให้ พล.อ.พัลลภ จึงตัดสินใจทำไร่ข้าวโพดที่นั่น สร้างกระต๊อบอยู่ และได้จ้างคนงานปลูกข้าวโพด และได้ไปซื้อมะพร้าวน้ำหอม 50 ต้นมาปลูกเพิ่ม เพื่อที่จะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

กระทั่ง มีคนรายงาน พล.อ.อาทิตย์ ว่า พล.อ.พัลลภ กำลังซ่องสุมกลุ่มคนอยู่ จึงส่งทหารไปที่ไร่ของ พล.อ.พัลลภ โชคดีที่วันนั้นสายพานรถไถขาด จึงต้องลงมาที่ อ.ปากช่อง เพื่อซื้อสายพาน พอจะกลับขึ้นไปลูกจ้างดักไว้บอกว่า อย่าขึ้นไป ทหารเต็มเลย

“ท่านสั่งเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ พร้อมทหาร ลงมาตรวจสอบ อีกทั้งยังเผาบ้านจนหมด ถ้าผมอยู่ผมก็คงตายไปแล้ว ผมก็คิดว่าทำไมถึงเล่นกันหนักขนาดนี้ รังแกผมทำไม ทำแบบนี้ไม่ถูก” นี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการลอบสังหาร พล.อ.อาทิตย์ ถึง 3 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ไม่สำเร็จคลาดกันตลอด จนกระทั่ง ครั้งสุดท้าย พล.อ.พัลลภ พร้อมด้วย ลูกน้อง 3 คน เตรียมปืนไปยิง โดยคำนวณเวลา ความเร็วรถ แต่ปรากฏว่า ตอนที่ขบวนรถของ พล.อ.อาทิตย์ ขับผ่าน มีพระ 3 รูป มาเดินบิณฑบาตระยะที่จะยิงพอดี จึงไม่ได้ลงมือ “น่าแปลกที่เวลา 9 โมงเช้า พระจะไม่บิณฑบาตแล้ว ผมเลยคิดว่าท่านเป็นคนมีบุญ จึงล้มเลิกความคิดที่จะลอบสังหารตั้งแต่ตอนนั้น”

“เมื่อครั้งที่ พล.อ.อาทิตย์ ไปลงสมัคร ส.ว. ที่ จ.เลย และได้พบกับ พล.อ.พัลลภ ได้กล่าวว่า ‘ไอ้ลภ มึงลอบยิงกู 7 ครั้ง’ ผมก็บอกว่า ‘ไม่หรอกนาย 3 ครั้งเอง’ ท่านก็บอก ‘ไอ้ห่า’ พร้อมเขกหัวผมหนึ่งทีแล้วผมก็ยกมือไหว้ท่าน เรื่องก็จบกัน ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกัน เพราะท่านเองก็เป็นนายเก่าผมเคยสนิทสนม และนับถือกันมาก่อน จากการลงสนามรบในสงครามเวียดนาม”

สั่งปลด ‘อาทิตย์’ จาก ผบ.ทบ. ยก ‘ชวลิต’ ขึ้นแทน!

ทว่า หลังจากที่ พล.อ.อาทิตย์ เป็นผู้กุมอำนาจทางการทหารทั้งหมด เปรียบเสมือนเป็นมือขวาของ พล.อ.เปรม ยุคนี้จึงเป็นยุคที่ พล.อ.อาทิตย์ รุ่งเรืองที่สุดเลยก็ว่าได้ และ พล.อ.เปรม ได้บริหารอำนาจในการหนุนกลุ่มอื่นๆ ขึ้นมา อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและขัดแย้งเกิดขึ้น

กระทั่ง นายสมหมาย ฮุนตระกูล รมว.คลัง ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ได้ประกาศลดค่าเงินบาท จาก 23 บาท เป็น 27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ พล.อ.อาทิตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่า “ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในการลดค่าเงินบาทครั้งนี้ เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน และได้สอบถามนายกรัฐมนตรีแล้วว่าจะมีการลดค่าเงินบาทหรือไม่ ซึ่งนายกฯ บอกเองว่าไม่ลด แต่กลับมาลดโดยไม่ยอมปรึกษาหารือถึงผลที่จะตามมา ทั้งนี้ ยอมรับว่าได้เสนอให้รัฐบาลปรับปรุง ครม. เพราะเป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหา ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ให้เป็นเรื่องของรัฐบาล และเห็นว่าควรจะเปิดสภาเพื่อให้ผู้แทนฯ ได้มีโอกาสแก้ไขปัญหาบ้านเมืองและจะไม่ไยดีอีกต่อไปแล้ว รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเอาเอง”

ต่อมา เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2529 พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ถูกปลดให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และแต่งตั้งให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งแทน โดยการปลดครั้งนี้ผ่านความเห็นชอบทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั่นเอง

ก่อตั้งพรรคปวงชนชาวไทย ก่อนนั่งรองนายกฯ

หลังจากเกษียณอายุราชการ พล.อ.อาทิตย์ เริ่มเข้าสู่สนามการเมืองด้วยการก่อตั้งพรรคปวงชนชาวไทย และลงสมัคร ส.ส. ก่อนจะได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในช่วงปี 2533-2534 สมัย พล.อ ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และได้รับการแต่งตั้งเป็น รมช.กลาโหม แต่เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2534 ขณะที่กำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนที่ จ.เชียงใหม่ พล.อ.อาทิตย์ ได้ถูกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผบ.ทบ. และ พล.อ สุนทร คงสมพงษ์ ผบ.สส. ในขณะนั้น จี้จับตัวไว้ ภายหลังเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ขึ้น

และหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬไป พล.อ.อาทิตย์ ได้เปลี่ยนชื่อพรรคปวงชนชาวไทยเป็นพรรคชาติพัฒนา และดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค โดยมี พล.อ.ชาติชาย เป็นหัวหน้าพรรค จากนั้นได้กลับมานั่งรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในปี พ.ศ. 2537-2538 สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลยหลายสมัย ซึ่งสมัยที่เป็น ส.ส. นั้น ก็ได้พัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้ชาว จ.เลยมากมาย

ในวันนี้ (20 ม.ค.) เวลา 17.00 น. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ และเคยเป็นผู้ใกล้ชิดไว้วางใจกันมาก่อน ได้เป็นประธานน้ำหลวงอาบศพ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรฯ.