ผลแข่งขันฟุตบอลซูซูกิคัพนัดสุดท้าย...ไทยแพ้มาเลเซีย 3–2 แต่เมื่อเอาไปนับแต้มรวมกับนัดชิงชนะเลิศนัดแรก ไทยทำไว้แล้ว 2 แต้ม ตามกฎกติกาที่ตกลงร่วมกัน เป็นอันว่าผู้ชนะกลายเป็นผู้แพ้
และไทยผู้แพ้ ก็กลายเป็นผู้ชนะ
ดูจะเป็นชัยชนะที่ทำได้ยาก ทั้งทิ้งช่วงเวลามานานกว่าสิบปี คนไทยจึงสนุกกันเต็มที่ นักฟุตบอลต้องเดินสายไปออกทีวี จนป่านนี้ ยังสนุกกันไม่เลิก
ผู้รู้เรื่องฟุตบอล...คุยกันว่า ชัยชนะครั้งนี้ ไม่ใช่ของโค้ช เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ไม่ใช่ของนักฟุตบอลคนไหน...ไม่ใช่สปอนเซอร์รายใด แต่เป็นชัยชนะของทีมเวิร์ก หรือระบบ
แต่ไหนแต่ไรมา...ทุกทีมฟุตบอลจะมีโค้ชคนเก่ง ศูนย์หน้าตัวเก่ง...มีปีกซ้าย ปีกขวา ฯลฯ หรือผู้รักษาประตู...คนที่ว่าเก่งๆ เมื่อขาดคนหนึ่งคนใด...ก็มักบ่นกันเป็นลาง
แล้วสุดท้าย ก็มักแพ้ไปจริงๆ
ตัวนักบอลดัง...มักเล่นแบบโชว์ฟอร์ม เรียกความประทับใจจากแฟน...เลี้ยงลูกกลับไปมา หรือไม่ก็เตะลูกโด่งแบบเตะทิ้ง...หวังลูกฟลุกเอาที่ฝีเท้าใครสักคนข้างหน้า
วิธีเล่นแบบหลังนี้ ใช้กันมากกับลูกเตะมุม...ขอเสี่ยงลูกให้ใกล้หน้าประตูเข้าไว้ เข้าตีนศูนย์หน้าสักคน...ก็ยิงลูกได้ วิธีเล่นที่เจนตาแบบนี้ ไม่ค่อยมีในฟุตบอลทีมนี้...นักฟุตบอลไม่ใช่ตัวดัง...ฝีมือชื่อเสียงกลางๆ ส่วนใหญ่อายุน้อย ซ้อมหนักกำลังอยู่ตัว...ได้ลูกอยู่กับเท้า ผ่านลูกไปให้เพื่อนอย่างแน่ใจ
ผู้รู้เขานับการส่งลูกไปมาๆ จับบอลไว้ในทีมตัวเอง นับกันได้ เกือบ 30 ครั้ง แสดงถึงการเล่นแบบทีมเวิร์กเต็มที่ เพิ่งเห็นชัดเจนในการเล่นนัดนี้
การเล่นนัดสุดท้ายเร้าใจมาก ใครๆก็อยากดู แต่เวลาแข่ง ผมอยู่ในงานแต่งลูกชาย น.นพรัตน์ จึงไม่ได้ดู
ครึ่งแรก...คุณอ้อม เพื่อนจากบริษัทสยามสปอร์ต...ออกอาการกระสับกระส่าย...ดูผลจากมือถือ แล้วบอกไทยเสียลูกโทษไปแล้ว 1 หลายคนที่แอบลุ้น หน้าเสีย
...
ออกจากงานแต่ง...ผมกับคุณประสิทธิ์ จากซีพีออลล์ แยกกันขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านใครบ้านมัน ยืนมองหน้ากันคนละฝั่ง...คุณประสิทธิ์ ตะโกนบอก เราแพ้ 3-2
แพ้ตั้ง 3–2 ผมใจเสีย แต่คุณประสิทธ์ิก็บอกย้ำ คะแนนรวมแข่งสองครั้ง เราชนะ ก็พลอยดีใจไปกับเขา
ตามข่าวย้อนหลัง มาเลเซียนำไทยไปถึง 3-0 แต่เป็นอย่างที่ผู้รู้คาดหมาย นักบอลเราหนุ่ม เล่นเป็นทีม แบบแรงไม่ถอย พอทำแต้มตามได้ 1 เราก็คงได้เฮ...ยังพอมีหวัง
พอทำได้เป็นแต้มที่ 2 ก็อย่างที่รู้ๆกัน คนไทยได้เฮกันทั้งประเทศ เราชนะ แต่เป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างฉิวเฉียด ชนะมาอย่างบีบหัวใจ...พิสูจน์ทฤษฎีเล่นเป็นทีม ได้อย่างศักดิ์สิทธิ์และวิเศษที่สุด
บทเรียนจากฟุตบอล...ยืนยัน ระบบนั้นนำหน้าตัวคน ถ้าระบบดี แล้วคนก็ดี...ไม่ดีคนเดียว เก่งเฮงคนเดียว...ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน เราเอาชนะได้เสมอ
นึกถึงการเมือง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูปประเทศนะครับ...มีความพยายามอธิบาย นี่คือการรวมของแม่น้ำ 5 สาย 1. สาย คสช. 2.สาย ครม. 3.สาย สนช. 4.สาย สปช. และ 5.สายคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
เอาปัญหาที่แล้วๆมาเป็นโจทย์ตั้ง เอาคนจากแม่น้ำ 5 สาย เป็นตัวบวกลบคูณหาร
เอาความสุขสงบเย็นของประชาชนเป็นผลลัพธ์...ไม่ควรให้นายกฯ หรือท่านประธาน...ท่านใด...เป็นพระเอกโด่งอยู่คนเดียว...
ข้อขัดแย้ง เคลือบแคลง...ที่มี ก็คงหาข้อยุติได้...และเราคงจะผ่าน หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ...นี้ไปได้
หมดเวลาที่คุณสมชายขอไว้เมื่อใด หากเรารวมกันเป็นหนึ่ง ได้จริง คนไทยคงจะได้เฮ เป็นสุข สนุกสนานกันยาวนาน ทั้งบ้านทั้งเมือง...ได้จริงๆ.
กิเลน ประลองเชิง