นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ชี้ 4 มาตรการกระตุ้น ศก.ไม่ได้ผล จี้สำนึก ปชป.ปฏิรูปตัวเองก่อน ไม่งั้นมีแต่พาประเทศเสียหาย ก่อนที่จะหายไปในที่สุด

วันที่ 10 ธ.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ยอมรับว่า เศรษฐกิจยังย่ำแย่และได้ออก 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ มาเสริมมาตรการเดิมที่เหมือนจะไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม เห็นว่า 4 มาตรการที่ออกมาใหม่ มีผลน้อยมาก และแก้ไขไม่ตรงจุด เหมือนกับการนำขันตักน้ำไปดับไฟป่าที่กำลังคุโชน แถมยังดับผิดที่ จึงไม่น่าจะสามารถจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้

โดยมีเหตุผล คือ 1.นาโนไฟแนนซ์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน เหมือนยาแก้ปวดแต่รักษาโรคร้ายไม่ได้ เพราะคิดดอกเบี้ยสูงถึง 36% ช่วยลดภาระเฉพาะเงินกู้ดอกเบี้ยมหาโหด แต่ใช้ทำธุรกิจไม่ได้ 2.มาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับเอสเอ็มอี ถึงแม้จะช่วยเอสเอ็มอีได้บ้าง แต่ปัญหาของธุรกิจเอสเอ็มอี คือ เศรษฐกิจฝืดเคือง ประสบภาวะขาดทุนกันหมดแล้ว จะเหลือเงินมาเสียภาษีหรือ อีกทั้งมาตรการลดภาษีไม่เคยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 3.มาตรการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรขาเข้า ในส่วนของวัตถุดิบ 1,274 รายการ อาจจะช่วยได้บ้าง แต่สำหรับเครื่องจักร 258 รายการ คงไม่ช่วยเท่าไรนัก เพราะกำลังผลิตของเครื่องจักรเดิมก็เหลืออยู่แล้ว เพราะขายสินค้าไม่ออก 4.การออกพันธบัตรออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง เป็นการให้ประชาชนที่จองซื้อได้ดอกเบี้ยสูง แต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อีกทั้งอาจจะทำให้อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดสูงขึ้นด้วย เพราะเป็นการแข่งขันหาเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์โดยตรง

และ 4 มาตรการที่ออกมา ไม่น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ปัญหาหลักทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน คือ การขาดเงินรายได้ในระบบ ซึ่งเกิดมาจากการส่งออกลดลง การท่องเที่ยวลดลง การลงทุนลดลง การบริโภคลดลง ปัจจัยสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ คือ ความมั่นใจจากต่างประเทศ และการกระตุ้นการบริโภค จึงอยากให้กำลังใจรัฐบาลและอยากให้แก้ไขให้ถูกจุด” นายพิชัย กล่าว

...

นายพิชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวคิดการเลือกตั้งนายกฯ และ ครม.โดยตรงนั้น ก่อนที่จะเถียงกันอยากให้แน่ใจก่อนว่า เมื่อประชาชนเลือกแล้วจะเคารพเสียงประชาชนหรือไม่ ถ้าแพ้เลือกตั้งแล้วก็งอแงตลอด จะเลือกตั้งแบบไหนก็ยุ่งไม่เลิก นิสัยของบางพรรคการเมืองที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในระบอบประชาธิปไตย หันไปเอาเผด็จการ จนทำให้บ้านเมืองเสียหาย วุ่นวายได้จนถึงขนาดนี้ ต้องเปลี่ยนนิสัยและเคารพเสียงประชาชนกันก่อนจะดีกว่าหรือไม่ เลิกพูดกันเสียทีเรื่องซื้อเสียง ประชาชนไม่ได้โง่อย่างที่กล่าวหา

แม้กระทั่งผลสำรวจของ อาจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ยังบอกว่าเงินซื้อเสียงไม่ได้แล้ว ขณะที่นายอลงกรณ์เองก็ยังยอมรับเลยว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจจะใช้เงินมากกว่าด้วยซ้ำ ถ้าตั้งสมมติฐานผิด ก็จะออกรัฐธรรมนูญผิดๆ ในที่สุดประเทศก็เดินผิดไปด้วย วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องหันมายอมรับความจริงและเลิกหลอกตัวเอง หันมาทำนโยบายเพื่อคนส่วนใหญ่ มากกว่าจะเอาใจคนส่วนน้อย และหวังอำนาจพิเศษที่จะทำให้ตัวเองเป็นรัฐบาลได้แล้ว หากไม่ปฏิรูปตัวเองเหมือนที่นายอลงกรณ์เตือน พรรคนี้จะไม่มีทางชนะเลือกตั้งได้และจะสูญพันธุ์ในที่สุด แต่ก่อนจะสูญพันธุ์พรรคนี้จะพาประเทศล่มจมไปด้วย กลับตัวตอนนี้ยังไม่สาย แม้ต้องใช้เวลาบ้าง.