ผมนั่งเขียนคอลัมน์วันนี้ ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ หล่นลงมาที่ 62.37 เหรียญต่อบาร์เรล ส่วน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อังกฤษ หล่นลงมาอยู่ที่ 65.37 เหรียญต่อบาร์เรล ต่ำสุดในรอบห้าปี ผู้เชี่ยวชาญน้ำมันคาดกันว่า ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในระดับ 65 เหรียญต่อบาร์เรลไปอีก 6–7 เดือน จนกว่าโอเปกจะตัดสินใจลดการผลิตลง หรือเศรษฐกิจโลกกระเตื้องขึ้น
เท่ากับว่าราคาน้ำมันดิบได้ลดราคาลงมาเกือบ 50% จากราคาสูงสุดเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ถ้าเทียบกับราคาที่เคยสูงสุด 140 เหรียญต่อบาร์เรล วันนี้ราคาน้ำมันดิบลดลงถึง 54%
แต่น่าแปลกนะครับ ท่านนายกฯตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนไทยกลับไม่ได้รับอานิสงส์ใช้น้ำมันถูกจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงเท่าที่ควร ทั้ง ราคาน้ำมันขายปลีก และ ค่าไฟฟ้า ทั้งที่ควรจะลดราคาลงมาให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันและก๊าซ
ผมก็เชื่ออย่างที่ เกจิน้ำมันเมืองนอก เขาเชื่อกันว่า ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในระดับ 60–65 เหรียญต่อบาร์เรลไปอีกอย่างน้อย 6–7 เดือน จะขึ้นกลับไปที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรลคงอีกนาน อย่างเก่งก็ปรับขึ้นไปได้สูงสุดไม่เกิน 80 เหรียญต่อบาร์เรล
ถ้า นายกฯตู่ และ คุณณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีพลังงาน ดูแลบริหารราคาพลังงานให้ดี ลดราคาน้ำมันขายปลีก ลดราคาก๊าซ ลดราคาไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบโลก แล้วมอบเป็น “ของขวัญปีใหม่” ให้กับคนไทย ผมเชื่อว่า จะเป็นการคืนความสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริง ดีกว่าไปลดราคาสินค้าในห้างสรรพสินค้า (เพราะทุกสิ้นปีห้างก็ลดราคาสินค้าล้างสต๊อกเป็นปกติอยู่แล้วโดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องร้องขอ)
เท่าที่ผมติดตามข่าว ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงต่ำระดับนี้ และคงจะต่ำอย่างนี้ไปอีกนาน เกิดจาก “สงครามราคาน้ำมัน” ระหว่าง กลุ่มโอเปก กับ สหรัฐฯ เจ้าของบ่อน้ำมัน เชลล์ ออยล์ และ เชลล์ ก๊าซ ที่เข้ามาแย่ง
...
ตลาดน้ำมันก๊าซ แม้โอเปกบางประเทศจะขายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนจริงก็ตาม เพราะกลุ่มโอเปกรู้ดีว่า ต้นทุนการผลิต เชลล์ ออยล์ และ เชลล์ ก๊าซ ของสหรัฐฯ สูงกว่าต้นทุนการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปก ถ้ายืนราคาต่ำอย่างนี้ไปอีกระยะ เชลล์ ออยล์ ของสหรัฐฯก็ทนขาดทุนไม่ได้
กลุ่มโอเปกจึงประกาศยืนปริมาณการผลิตน้ำมันดิบไว้ที่วันละ 30 ล้านบาร์เรลทั้งที่ราคาร่วงไปกว่า 40% เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มโอเปกมีการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเป็น 30.56 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อกดดันราคาตลาดต่อ จนกว่าสหรัฐฯจะทนขาดทุนต่อไปไม่ไหว
ทุกวันนี้สหรัฐฯผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 9.08 ล้านบาร์เรล
สงครามราคาน้ำมันครั้งนี้ สหรัฐฯ ยังถือโอกาสสั่งสอน รัสเซีย อีกทางหนึ่งด้วย ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 30% จะทำให้รัสเซียสูญเสียรายได้ปีละ 100,000 ล้านดอลลาร์ ราว 3.3 ล้านล้านบาท ตอนนี้ราคาน้ำมันดิบลดลงไป 50% รัสเซียน่าจะสูญเสียรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละเกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์ ยังไม่นับผลกระทบจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐฯอีกปีละกว่า 50,000 ล้านเหรียญ จากปัญหาความขัดแย้งในยูเครน
โลกเบี้ยววันนี้ เกิดสงครามเศรษฐกิจ กระจายไปหมดเกือบทุกภูมิภาค
ผมคิดแบบบัญญัติไตรยางศ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ น่าจะฉวยโอกาสทองนี้สนับสนุนให้มีการ “ซื้อน้ำมันดิบ” มาเก็บไว้โดย “เพิ่มน้ำมันดิบสำรอง” ที่ประเทศต้องมีอยู่แล้ว ซื้อเก็บให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะราคาบาร์เรลละ 64–65 เหรียญ
อีกหน่อยก็หาซื้อไม่ได้ ปีหน้าเมื่อราคาน้ำมันดิบขึ้น ประเทศก็กำไรเห็นๆ
เรื่องนี้ถือเป็น ยุทธศาสตร์ประเทศ เมื่อมีโอกาสก็ต้องฉวยเอาไว้
ที่สำคัญ นายกฯตู่ ต้องไม่ลืมประชาชน เมื่อราคาน้ำมันดิบลดลงมากมายอย่างนี้ ราคาน้ำมันขายปลีกต้องลดตาม ค่าขนส่งต่างๆ
ก็ต้องลดลง ค่าก๊าซค่าไฟฟ้าก็ต้องลดลง ไม่ใช่สวนทางขึ้นราคา เพื่อช่วยให้ค่าครองชีพประชาชนลดลง เป็นการคืนความสุขให้ประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง ดีกว่าของขวัญอย่างอื่นเยอะ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”