ถ้าจะให้พูดถึงสมาร์ทโฟนที่เป็นกระแสฮือฮากันอยู่ในปัจจุบันนี้ คงไม่มีตัวไหนมากไปกว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus แล้วล่ะครับ เพราะนอกจากจะเป็นสมาร์ทโฟนตระกูล iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดที่หลายๆ คนรอคอยแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ Apple ก้าวออกจาก Comfort zone แบบจริงๆ จังๆ ซะที โดยทำถึงสองเรื่องเลย นั่นคือ การออกสมาร์ทโฟนสองรุ่นพร้อมๆ กัน และมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าที่เคยเป็นอย่างเทียบไม่ได้ คือ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้วครับ … แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเห็นสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ขนาดนี้ แต่นี่คือครั้งแรกของ Apple เลยนะ เราต้องมาดูกันสิว่าสโลแกนของ Steve Jobs ที่ว่า “เราไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำ แต่เราคือเจ้าที่ทำได้ดีที่สุด” จะยังคงเดิมอยู่ไหม
จะว่าไปแล้ว การที่ Apple ออก iPhone ตัวใหม่ ขนาดหน้าจอใหญ่อลังการแบบนี้ และออกพร้อมกันสองรุ่น ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Apple เพราะปีที่แล้ว Apple ก็แสดงให้เห็นไปบางส่วนแล้ว ด้วยการออก iPhone 5c ออกมาพร้อมๆ กับ iPhone 5s เพียงแต่ตอนนั้น มันยังไม่ได้ก้าวออกจาก Comfort zone แบบเต็มตัว เพราะ iPhone 5c สุดท้ายก็คือสเปกประมาณ iPhone 5 ที่เป็นรุ่นก่อนหน้า เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องไปใช้พลาสติก เหมือนเป็นการหยั่งเชิงว่า หาก Apple จะใช้วัสดุประมาณนี้มาทำบอดี้บ้าง เสียงตอบรับจะเป็นอย่างไร (และผลก็เป็นไปตามที่เราทราบกันนั่นแหละนะครับ) … ฮา
Apple ได้บทเรียนจากความผิดพลาดนั้น และในปีนี้ Apple ก็เลยออก iPhone ออกมาสองรุ่นเช่นเคย แต่ว่าออกแบบให้ทั้งสองรุ่น ใช้วัสดุพรีเมี่ยมอย่างอลูมิเนียมอย่างที่เคยครับ

...
รูปร่างหน้าตาของ Apple iPhone 6 Plus

สำหรับ iPhone 6 Plus นี่ ผมขอวิพากษ์ตั้งแต่แกะกล่องเลยนะครับ … งวดนี้ Apple เลือกที่จะไม่แปะรูปผลิตภัณฑ์ไว้บนกล่องครับ จากเดิมที่ตามสไตล์ของ Steve Jobs จะต้องเป็นภาพของสิ่งที่จะอยู่ในกล่อง เพื่อให้รู้ว่าเรากำลังจะได้เห็นอะไร ซึ่งเป็นอะไรที่ Apple ทำเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ประสบการณ์ฟินแบบสุดๆ ตั้งแต่ตอนแกะกล่องกันเลย … พอไม่มีรูปแบบนี้ มันก็เลยดูแปลกๆ ไป

ขนาดผู้ใช้งานชื่อ ymv13 เองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ไป และเขารู้สึกว่าพอไม่มีรูปแล้วมันไม่เพอร์เฟกต์อ่ะ เขาเลือกที่จะจ่ายตังค์แพงๆ เพื่อได้ทุกอย่างเพอร์เฟกต์ตั้งแต่กล่องกันเลยทีเดียว อะไรแบบนี้

อีกเรื่องนึงที่แปลกตาไปจากเดิม ก็คือตรงส่วนที่เอาไว้วางตัวเครื่อง iPhone 6 Plus นี่แหละครับ ที่จะเห็นว่ามีร่องกลมๆ เล็กๆ อยู่ จากเดิมที่ไม่เคยมี … อันนี้เพราะว่าต้องเอาไว้สำหรับรองรับเลนส์กล้องของ iPhone 6 Plus ที่นูนขึ้นมาจากตัวเครื่องประมาณ 1 มิลลิเมตรครับผม

...
ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ก็จะเหมือนๆ เดิมครับ มีสาย Lightning ให้เส้นนึง มี Wall charger และมีหูฟัง EarPod … ซึ่งตัว Wall charger ก็จะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันออกไปตามแต่ว่าซื้อเครื่องของประเทศไหนมาน่ะครับ

ด้านหน้าของ iPhone 6 Plus เป็นหน้าจอ IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920×1080 พิกเซล เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ iPhone มีหน้าจอแสดงผลความละเอียดระดับ Full HD และเช่นเคย มีปุ่ม Home แต่ปุ่มเดียว ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสแกนลายนิ้วมือสำหรับระบบ TouchID และมีกล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลเดิมๆ

...
ด้านหลังของ iPhone 6 Plus ให้ความรู้สึกคล้ายกับความเป็น iPad มากขึ้นมากครับ ในขณะที่ยังมีโลโก้แอปเปิลเหมือนเดิม และไม่มีการระบุว่าเป็นรุ่นกี่ GB ไว้ … ถ้าไม่ดูที่กล่องนะครับ ก็ต้องไปเปิด Settings ของตัวเครื่องดู … มีกล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขนาดเซ็นเซอร์ 1/3″ ขนาดพิกเซล 1.5 ไมครอนพร้อม LED Flash ที่เป็น True Tone ด้วยเหมือนกับ iPhone 5s ครับ

ที่น่าแปลกใจคือ งวดนี้ทำไม Apple ยอมให้เลนส์กล้องมันนูนออกมาแบบนี้ก็ไม่รู้แฮะ เข้าใจว่าเพราะความที่อยากให้ตัวเครื่องมันบางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าพิจารณาจากสไตล์ของ Apple ในอดีต ก็ไม่น่าจะปล่อยให้เลนส์กล้องมันนูนโดดเด่นออกมาซะขนาดนี้ … ถามว่าเวลาเอาไปวางบนพื้นแล้วมันจะทำให้เลนส์กล้องเป็นรอยไหม ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะกระจกที่ใช้เป็นกระจกแซฟไฟร์ครับ (ความแข็งตามสเกลของโมห์คือ 9 ครับ ที่แข็งกว่านี้ก็เป็นเพชรแล้ว)

...
อีกจุดนึงที่เปลี่ยนไปคือ ปุ่มเปิดปิดหน้าจอที่เคยอยู่ด้านบน ไม่มีแล้ว เพราะขนาดหน้าจอที่ใหญ่ แน่นอนว่าการจะต้องเอื้อมไปกดปุ่มด้านบนมันไม่สะดวกแน่ๆ น่ะ … ฉะนั้นด้านบนของ iPhone 6 Plus ก็เลยเรียบๆ ไม่มีอะไรครับ … ส่วนด้านล่างของ iPhone 6 Plus ก็จะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มีรูไมโครโฟน มีพอร์ต Lightning และลำโพงของตัวเครื่อง … งวดนี้ข้างไหนเป็นไมโครโฟน ข้างไหนเป็นลำโพง แยกแยะได้ชัดเจนมากทีเดียว

ด้านซ้ายของ iPhone 6 Plus ก็เหมือนๆ เดิมครับ มีสวิตช์สำหรับเปิดปิดระบบสั่น … ในบรรดาสมาร์ทโฟนทั้งหลาย ก็เห็นจะมีแต่ iPhone นี่แหละ ที่มีปุ่มสำหรับเปิดปิดระบบสั่นโดยเฉพาะ … นอกจากนี้ก็มีปุ่มปรับระดับเสียงครับ

ด้านขวาของ iPhone 6 Plus นั้นมีช่องใส่ Nano SIM card ที่ยังคงต้องหาอะไรจิ้มเพื่อถอดถาดใส่ซิมออกมาเหมือนเคย แต่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือปุ่ม Power ครับ ย้ายมาอยู่แถวๆ นี้ด้วยความหวังว่าจะให้กดง่ายขึ้นกว่าการที่จะให้มันอยู่ข้างบน … แต่จากที่ผมลองลูบๆ คลำๆ ดูนะ คนมือเล็กๆ ก็น่าจะยังคงมีปัญหากับการกดมันอยู่นั่นแหละครับ

ทีนี้หากถามผมว่า แล้วที่มีปัญหา Bendgate หรือ iPhone 6 Plus งอ ที่ฝรั่งเขาเอามางอแล้วถ่ายคลิปโชว์กันเนี่ย มันเป็นเรื่องจริงไหม ก็ต้องขอตอบว่า หากไปออกแรงบิดกันขนาดนั้น ก็คงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหานั้นได้จริงๆ นั่นแหละครับ หากได้สัมผัสตัวเครื่องจริงๆ ก็จะรู้สึกได้ว่า ถ้าเกิดเจอแรงบิดหนักๆ ซักหน่อย โอกาสงอมันก็มีจริงๆ นะครับ
อย่างไรก็ดี ความที่มันบางและเบา และขอบมนๆ แบบนี้ โดยส่วนตัวผม มันเป็นดีไซน์แบบที่ผมจับแล้วรู้สึกว่าสบายมือนะ แต่ก็แอบได้ยินเสียงบ่นของคนมือเล็กว่า ด้วยขนาดหน้าจอแบบ 5.5 นิ้วอย่างนี้ การหยิบถือใช้มือเดียวเนี่ย ไม่สะดวกสักเท่าไหร่ ไม่ถนัดมือ … เอ๋า! ก็รู้สึกว่าเขาจะออกแบบมาสำหรับใช้งานสองมือนะครับ
สเปกและประสิทธิภาพของ iPhone 6 Plus
เช่นเคย iPhone ไม่ใช่สมาร์ทโฟนที่จัดสเปกแบบอัดเต็ม ระดับเทพ เหมือนอย่างพวกฝั่งสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ดังนั้น แม้ว่า iPhone 6 Plus จะจัดสเปกมาดีกว่าตอนสมัย iPhone 5s อยู่พอสมควร แต่หากไปเทียบเฉพาะเลขสเปก ก็ต้องบอกว่ายังดูเป็นรองพวกสมาร์ทโฟนคู่แข่งในระดับ Flahship อยู่ … แต่ขอย้ำนะครับ เป็นรองเฉพาะเลขสเปก
• CPU: Apple A8 Dual-core 1.4GHz Cyclone (ARM v8)
• GPU: PowerVR GX6450 Quad-core
• Display: IPS LCD 5.5″ Full HD 1920×1080 พิกเซล (401ppi)
• RAM: 1GB
• Internal storage: 16GB/64GB/128GB
• External storage: ไม่รองรับ
• Operating System: iOS8.0.2
• Connectivity
• ชนิดของซิม: Nano SIM
• 2G: 850/900/1800/1900MHz
• 3G: 850/900/1900/2100MHz
• 4G: รองรับ 4G LTE รุ่นที่ขายในไทยเป็นโมเดล A1524 (อ้างอิงจากข้อมูลที่เปิดเผยโดย กสทช.)
• LTE 700/800/850/900/1800/1900/2100/2600
• TD-LTE 1900/2300/2500/2600 (1/2/3/4/5/7/8/13/17/18/19/20/25/26/28/29/38/39/40/41)
• WiFi: 802.11a/b/g/n/ac Dual-band
• Bluetooth: 4.0 A2DP, LE
• Infrared port: ไม่มี
• NFC: มี (ใช้ได้เฉพาะ Apple Pay เท่านั้น)
• Camera
• ด้านหน้า: 1.2 ล้านพิกเซล
• ด้านหลัง: 8 ล้านพิกเซลพร้อม LED Flash True Tone
• Battery: 2,915mAh
• Dimensions: 158.1 มม. x 77.8 มม. x 7.1 มม.
• Weight: 172 กรัม
• Others: -
• Price: ยังไม่ระบุ
จะเห็นได้ว่าในส่วนของหน่วยประมวลผล Apple A8 นั้น หากเทียบเฉพาะเลขสเปกแล้ว ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยครับ พวกสมาร์ทโฟนคู่แข่งที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เขาไปถึงระดับ Octa-core ไปแล้ว แต่อย่างที่ผมบอกไปในตอนแรกว่ามันก็แค่เป็นรองในเลขสเปกเท่านั้น ถ้าจะวัดว่าอะไรแรงกว่า มันต้องมาปะทะกันด้วยตัวเลข Benchmark เป็นอย่างน้อยละครับ
ฉะนั้นก็ต้องมาดูผลการวัดประสิทธิภาพกันบ้าง ซึ่งผมเลือกใช้ซอฟต์แวร์ Benchmark ตามนี้เลยครับ
• AnTuTu Benchmark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพในภาพรวม
• MobileXPRT 2013 เพื่อประเมินประสบการณ์ในการใช้งานทั่วๆ ไป โดยทดสอบเรื่อง
• การตกแต่งภาพแบบต่างๆ การตรวจจับใบหน้าคนในรูป
• การเข้ารหัสข้อมูล
• ความลื่นไหลของแอนิเมชั่นในการ Scroll ข้อมูลบนหน้าจอ
• 3DMark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิก 3D
• Geekbench สำหรับการวัดประสิทธิภาพการประมวลผลในภาพรวม โดยแบ่งเป็น Single-core และ Multi-core
ผลลัพธ์ที่ได้ ก็ตามตารางด้านล่างนี่เลยครับ

คะแนนที่ได้ เรียกว่าค่อนข้างสูงมากทีเดียว ดังนั้นจึงต้องถือว่า Apple ทำการบ้านได้ค่อนข้างดีทีเดียว เพราะแม้ตัวเลขสเปกของฮาร์ดแวร์จะด้อยกว่า แต่คะแนนที่ได้ เรียกว่าไม่น้อยหน้าสมาร์ทโฟนระดับ Flagship คู่แข่งรายใดเลยละครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านการใช้งานทั่วไป หรือแม้แต่การประมวลผลกราฟิกสามมิติ
ประสบการณ์ในการใช้งาน iPhone 6 Plus
แม้ว่า iPhone 6 Plus จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการตัวใหม่ล่าสุด iOS8 แต่โดยพื้นฐานการใช้งานแล้ว ไม่ได้แตกต่างไปจากระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชันเก่ามากนักครับ โดยภาพรวมก็ยังเป็นอะไรที่คุ้นเคยกันดีอยู่ครับ



ที่แตกต่างกันชัดเจนสำหรับ iPhone 6 Plus มีด้วยกัน 2 จุดใหญ่ๆ ครับ คือ มีโหมด Zoomed ที่จะขยายพวกไอคอนและ User Interface ต่างๆ ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้อะไรๆ มันดูเต็มพื้นที่มากขึ้น กับโหมด Standard ที่จะใช้ขนาดไอคอนแบบเดิมๆ มันจะดูไม่บวมๆ มาก แต่ก็จะเห็น



ณ ตอนนี้ App ทั้งหลาย ดูจะไม่ได้ตอบสนองกับโหมดซูมนี่แต่อย่างใดครับ จะเห็นความแตกต่างก็เฉพาะพวก App ที่เป็นของ Apple ที่มากับตัว iPhone 6 Plus ซะมากกว่า … แต่ตามสไตล์ของ Apple ครับ เดี๋ยวพอผ่านไปนานๆ App เริ่มปรับตัวเข้ากับคุณสมบัติต่างๆ ของ iOS เวอร์ชันใหม่ เราก็จะได้เห็น App ทั้งหลายรองรับโหมดซูมนี่มากขึ้นเรื่อยๆ เองแหละ
ข้อจำกัดของโหมด Zoomed ก็ไม่ใช่จะไม่มีนะครับ … มันจะเห็นชัดตอนที่เราจะใช้คุณสมบัติที่เพิ่มเข้ามาของ iPhone 6 Plus อีกอย่างซึ่งก็คือโหมดการแสดงผลแบบแนวนอนนี่แหละครับ … เพราะในบางหน้าจอ หรือ บาง App การแสดงผลแบบแนวนอนจะทำไม่ได้ หรือทำออกมาแล้ว User Interface จะมีข้อจำกัดการใช้งาน เช่น ใน Home screen เนี่ย ถ้าเป็น Zoomed mode ก็จะแสดงผลแนวนอนไม่ได้ครับ ต้องเป็น Standard mode เท่านั้น
หรือจะเป็น Calendar app ที่เวลาอยู่ใน Standard mode จะเห็น User Interface แบบเต็มๆ แต่หากอยู่ใน Zoomed mode แล้ว ก็จะเห็น User Interface จำกัด ปรับมุมมองไม่ได้


หรือหน้าจอ Settings ของ iPhone 6 Plus เอง หากเป็น Standard mode ก็จะแสดงผลแบบแยกซ้ายขวาได้เหมือน iPad ครับ แต่ว่าถ้าเป็น Zoomed mode ละก็ จะแสดงผลได้แต่แบบแนวตั้งเท่านั้นเอง


ดูๆ ไปแล้ว ในภาพรวม iPhone 6 Plus ดูจะถูกออกแบบมาให้ใช้แบบสองมือมากกว่าหรือเปล่า?!? ก็คงจะใช่ครับ ใครที่เคยไปทดลองจับๆ พวก Android smartphone ที่ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว หรือใหญ่กว่า อย่างเช่น Samsung Galaxy Note 3, Samsung Galaxy Note 4 หรือ Oppo Find 7 อะไรพวกเนี้ย ก็น่าจะรู้สึกได้ว่ามันเป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับการใช้งานสองมือมากกว่า … สำหรับ iPhone 6 Plus นี่ผมก็ว่าไม่แตกต่างกันครับ

สำหรับคนมือใหญ่ๆ แบบผม การถือมือเดียวก็ยังพอไหวครับ สามารถพอจะจับได้ค่อนข้างมั่นคง แต่หากใครมือเล็กๆ ละก็ ถือไม่ดี เสี่ยงหลุดมือเอาง่ายๆ ดังนั้น การเลือกใช้ iPhone 6 ที่หน้าจอ 4.7 นิ้ว อาจจะเหมาะสมกว่าครับ


แต่ Apple เขาก็เตรียมเผื่อสำหรับคนที่ยังอยากจะใช้งานแบบมือเดียวครับ ข้อจำกัดของการที่ iPhone มีปุ่ม Home แค่ปุ่มเดียวก็คือ พวก User Interface หลายๆ อย่างของระบบปฏิบัติการ iOS ถูกกำหนดให้ต้องเอาไว้ด้านบน (เพราะเมื่อก่อนหน้าจอมันเล็ก เลยไม่มีปัญหา) ซึ่งทำให้การเอื้อมนิ้วขึ้นไปแตะมันลำบาก ทาง Apple เขาก็เพิ่มกระบวนท่าใหม่มาให้ โดยหากเราแตะที่ปุ่ม Home 2 ครั้งติดๆ กัน มันจะเป็นการดึงเอา User Interface ด้านบนลงมาครับ เพื่อให้เอื้อมนิ้วขึ้นไปแตะได้สะดวกขึ้น จะลาก Notifications ลงมาก็ใช้มือเดียวได้
แต่มันก็แค่ช่วยให้แตะสะดวกขึ้นนิดหน่อยอ่ะครับ เพราะเอาเข้าจริงๆ ข้อจำกัดอีกอย่างของหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วก็คือ “ความกว้าง” ของตัวเครื่อง ที่คนมือเล็กๆ ยังไงก็เอื้อมนิ้วโป้งไปไม่ถึงอีกฝั่งอยู่ดี

หลายๆคน อาจจะกลัวการพก iPhone 6 Plus ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ … อันนี้น่าคิดครับ แต่จากที่ผมทดสอบดู หากเป็นคุณผู้ชาย ใส่กางเกงยีนส์ ถ้าไม่เอาไปใส่กระเป๋าหลัง ก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ ขอแค่มีกระเป๋าลึกๆ หน่อย แม้จะรู้สึกว่าตุงๆ กางเกงไปบ้าง แต่มันก็ไม่ถึงขนาดที่จะเสี่ยงต่อการทำให้ตัวเครื่องงอแต่อย่างใดครับ

งวดนี้ Apple iPhone 6 Plus เข้าสู่กระแส “สุขภาพ” มากกว่าเดิม ด้วยการมี Health app โดยเฉพาะแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้พวก 3rd Party ก็ทำทั้งอุปกรณ์มารองรับ มี App ต่างๆมาช่วยอำนวยความสะดวกในการออกกำลังกายของเรา เพียงแต่ข้อมูลมันกระจัดกระจายไปหน่อย ทาง Apple เลยถือโอกาสทำ App อย่าง Health ขึ้นเป็นศูนย์กลางให้ เหมือนที่เคยทำกับ Newsstand มาแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อจัดระเบียบพวก e-newspaper และ Digital magazine



จุดขายของ Apple แม้จะไม่ได้อยู่ที่ App ที่แถมมาให้กับเครื่อง แต่งวดนี้ iPhone 6 Plus นี่ก็มีแถมทั้งชุด GarageBand, iMovies และ iWorks (Pages, Numbers, และ Keynote) มาให้ด้วย ซึ่งเอาไว้ทั้งแต่งเพลง, ตัดต่อวิดีโอ และทำพวกไฟล์เอกสารต่างๆ … ซึ่งแต่ละ App ก็เป็นอะไรที่มีฟังก์ชั่นการทำงานค่อนข้างครบครันดีอยู่แล้ว เรียกว่าไม่ต้องไปหา App อะไรเพิ่มเลย


จุดขายจริงๆ ของ Apple คือ ความที่เป็นขาใหญ่แห่งวงการ ทำให้มีตัวเลือก App มากมายครับ ซึ่งยิ่งมีทางเลือกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับตัวผู้ใช้งานมากเท่านั้น ฉะนั้น เปิด App Store เข้าไปปุ๊บ ก็จะเจอ App มากมายครับ เพียงแต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าคุณภาพของ App โดยเฉลี่ยมันเริ่มดูด้อยๆ ยังไม่รู้ไม่รู้อ่ะครับ

เครดิตภาพ: The New York Times