มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศมากกว่าที่บ้านหลายเท่าตัว บรรยากาศการทำงานในออฟฟิศจึงเป็นดัชนีสำคัญที่บ่งชี้ถึงความทุกข์สุขร้อนหนาวในชีวิต ถ้าทำงานแล้วรุ่มร้อนก็คงอยู่ไม่ทน!!

เมื่อพูดถึงต้นแบบ “ออฟฟิศในฝัน” อันดับหนึ่งของโลก คงต้องยกให้เจ้าแห่งเสิร์ชเอ็นจิ้นตลอดกาล “กูเกิล” แม้วันนี้จะเติบโตรวดเร็วแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัว จนมีรายได้มากกว่า 55,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ “กูเกิล” ก็ยังสามารถรักษาบรรยากาศอบอุ่นด้วยมิตรภาพแบบบริษัทเล็กๆไว้ได้ทุกอณู ใครที่เคยไปเยี่ยมออฟฟิศ “กูเกิลเพล็กซ์” ที่เมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย ต่างก็ร้องว้าวๆๆ!! เพราะบรรยากาศของออฟฟิศสนุกสนานคึกคักไม่ต่างจาก “ดิสนีย์เวิลด์ รีสอร์ต” ด้วยวิสัยทัศน์ของ “แลร์รี เพจ” และ “เซอร์เกย์ บริน” สองคู่หู ผู้ก่อตั้งกูเกิล ที่เชื่อมั่นว่า ถ้าพนักงานมีความสุข อารมณ์ดี จิตใจเบิกบาน และรู้สึกผ่อนคลาย ไอเดียบรรเจิดต่างๆก็จะผุดออกมาไม่รู้จบ

พนักงานระดับหัวกะทิกว่า 25,000 คนของกูเกิล มีอาหารเพื่อสุขภาพให้รับประทานฟรีทั้ง 3 มื้อ ทุกจานปรุงจากวัตถุดิบออร์แกนิคที่หาได้ในรัศมีใกล้ๆออฟฟิศเพื่อช่วยลดโลกร้อน นอกจากนี้ ยังมีห้องพักผ่อนหย่อนใจ ที่เต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า, ห้องนวด-ห้องสปา, ห้องสมุดไฮเทค, ห้องงีบกลางวันเพื่อให้สมองแล่น พร้อมเก้าอี้นวดไฟฟ้า และตู้ปลารีแล็กซ์สายตา

ส่วนพนักงานคนไหนเครียดจัดจนคิดโปรเจกต์ใหม่ๆไม่ออก ก็สามารถใช้บริการแคปซูลคลายเครียด หรือจะออกกำลังกายแก้เครียด ก็มีอุปกรณ์ให้พร้อม ทั้งห้องฟิตเนส, โต๊ะปิงปอง, โต๊ะพูล, สนามวอลเลย์บอล และวีดิโอเกม ที่นี่มีสไลเดอร์สำหรับพนักงานใช้ลงแทนบันได และยังติดตั้งไวท์บอร์ดทั่วออฟฟิศให้พนักงานขีดเขียนความในใจ เป็นวัฒนธรรมอีกอย่างของชาวกูเกิลที่จะใช้คอกทำงาน ห้องเก็บของ และห้องประชุมร่วมกัน ไม่ว่าเดินไปมุมไหนก็มีแล็ปท็อปคอยอำนวยความสะดวก...หมดยุคแล้วที่จะนั่งรากงอกเฝ้าเก้าอี้ทำงาน

...

ในโลกของอุตสาหกรรมไฮเทค ยังมีบริษัทที่พยายามสร้างวัฒนธรรมองค์กรแปลกใหม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อดึงดูดใจพนักงานชนชั้นมันสมอง ไม่ว่าจะเป็น บริษัท SAS ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ในรัฐนอร์ธ แคโรไลนา ที่มีรายได้มากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้รับการจัดอันดับจากฟอร์จูนให้เป็นออฟฟิศน่าทำงานที่สุดรองจากกูเกิล เพราะพนักงานกว่า 13,000 คน พร้อมใจกันโหวตว่า บรรยากาศของออฟฟิศอบอุ่นเหมือนบ้านหลังที่สอง ภายในออฟฟิศของ SAS ออกแบบให้เป็นแคมปัสใจกลางป่า ขนาด 900 เอเคอร์ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เขียวขจี มีสระน้ำส่วนตัว, ห้องสมุด, มุมพักผ่อนเงียบสงบ, หอพัก และห้องรักษาพยาบาล พนักงานของ SAS สามารถลาป่วยอย่างไม่จำกัด และเปิดกว้างสำหรับการทำงานที่บ้าน เพื่อให้พนักงานได้ปรับเวลายืดหยุ่นตามความจำเป็นของชีวิต

ขณะที่บริษัทขนาดกะทัดรัดกว่าอย่าง Twitter ซึ่งมีฐานออฟฟิศอยู่ในซานฟรานซิสโก และมีพนักงานเพียง 3,300 คน ได้รับการยกย่องให้เป็นออฟฟิศที่มีบรรยากาศส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นของพนักงานมากที่สุด ภายในบริษัทจะจัดปาร์ตี้น้ำชายามบ่ายเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพื่อให้พนักงานได้มีพื้นที่พูดคุยสังสรรค์แลกเปลี่ยนไอเดีย แม้จะมีรายได้จิ๊บๆแค่ 665 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ในบริษัท Twitter ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง รวมถึงห้องเล่นเกมเพื่อให้ปลดปล่อยความเครียด

บริษัทไฮเทคที่ส่งเสริมการมีจิตสำนึกเพื่อสังคมก็มีให้เห็น อย่างเช่น Salesforce.com เจ้าแห่งระบบโปรแกรมสำหรับงานด้านการบริหารงานขายบนโลกออนไลน์ กุมรายได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท และมีพนักงาน 15,000 คน ได้รับการโหวตจากพนักงาน 8 ใน 10 ว่าพึงพอใจ มากที่ได้ทำงานในองค์กรที่เปิดกว้างทางความคิด และให้โอกาสพนักงานทำประโยชน์เพื่อสังคม โดยออฟฟิศนี้อนุญาตให้พนักงานลาพักร้อนเพื่อไปทำงานอาสาสมัครได้ตามอิสระ และประกาศเป็นนโยบายว่า พนักงานทุกคนจะได้ขึ้นเงินเดือนอย่างน้อยปีละ 4% เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ.

มิสแซฟไฟร์