ป.แจ้ง 4 ข้อหาหนัก “พิพัฒน์ ลาภปรารถนา” ประธานสภา กทม. ฐานอั้งยี่ เรียกรับผลประโยชน์ ข่มขู่ และกรรโชกทรัพย์ ผู้ค้าแผงลอยวัดหัวลำโพง แต่เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อหา ก่อนนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัว หลังพี่ชายที่เป็นทนายความยื่นคำร้อง และใช้เงินสด 3 แสนบาทเป็นหลักทรัพย์

แจ้ง 4 ข้อหาประธานสภา กทม. เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 19 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.ทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษถึง พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. ให้ดำเนินคดีนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ประธานสภากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางรัก หลังถูกกลุ่มผู้ค้าบริเวณหน้าวัดหัวลำโพง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กล่าวหาร่วมกับนายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก เรียกเก็บค่าคุ้มครอง โดยก่อนหน้านี้ ทหารได้เชิญตัวนายพิพัฒน์และนายประเสริฐมาซักถามก่อนกักตัวไว้ที่ห้องขัง บก.ป.ตามอำนาจ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก มีกำหนดเวลา 7 วัน

หลังรับคำร้อง พ.ต.ท.นทธีฤทธิ์ หาญเสน่ห์ลักษณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป. เบิกตัวนายพิพัฒน์ออกจากห้องควบคุมเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา โดยมีนายเธียรชัย ลาภปรารถนา ทนายความ และเป็นพี่ชายนายพิพัฒน์ ร่วมรับฟังการสอบสวนด้วย ขณะที่นายพิพัฒน์ไม่มีอาการเครียดหรือวิตกกังวลใดๆ

สำหรับข้อหาที่แจ้งกับนายพิพัฒน์ ประกอบด้วย 1.ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลปกปิดวิธีการที่มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยผู้กระทำผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคล กระทำผิดฐานเป็นหัวหน้าอั้งยี่ 2.ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตน หรือผู้อื่นในการจูงใจให้เจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใด 3.ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด โดยกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย และ 4.ข่มขืนใจผู้อื่น ยอมให้ทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน กระทำผิดฐานกรรโชกทรัพย์

...

ขณะที่นายพิพัฒน์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด และยอมรับว่ารู้จักกับนายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรักจริง แต่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองจากกลุ่มผู้ค้าที่หน้าวัดหัวลำโพง ตนเป็น ส.ก.เขตบางรัก มา 4 สมัย 16 ปี หากไปทำแบบนั้นประชาชนคงไม่เลือกเข้ามาให้ทำงาน ลองไปสอบถามชาวบ้านดู สำหรับกรณีนายประเสริฐที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปนั้น ตนเป็น ส.ก. ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้ว โดยเรื่องเรียกรับเงินค่าคุ้มครองนั้นไม่รู้เรื่อง แต่หากเป็นเรื่องของมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรักก็พอทราบ เพราะนายประเสริฐเคยมาหยิบยืมเงินไปทำมูลนิธิ เป็นเรื่องที่ดี ตนให้การสนับสนุน เพราะตั้งขึ้นมาเพื่อการกุศล เงินรายได้จากการบริจาคควรจะนำไปช่วยเหลือสังคม ทั้งซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับ รพ.ใช้เป็นทุนการศึกษาเด็ก และช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยต่างๆ ตนได้ให้ข้อคิดและคำแนะนำไป

เมื่อถามว่า เคยประสานสำนักงานเขตบางรัก เกี่ยวกับการจัดการปัญหาเรื่องการเก็บค่าคุ้มครองบ้างหรือไม่ นายพิพัฒน์ตอบว่าไม่เคย เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะต้องดำเนินการอยู่แล้ว ตนเป็น ส.ก.มา 16 ปี พฤติกรรมแบบนี้ใครจะกล้าไปทำ อีกทั้งยังเป็นนายกสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย และได้รับพิจารณาให้เป็นรองประธานสหพันธ์บาสเกตบอลในระดับอาเซียน หากมีพฤติกรรมแบบนี้ใครเขาจะเลือก ทุกคนที่รู้จักตนจะทราบดี วันๆต้องทำงานในฐานะ ส.ก.และตำแหน่งในสมาคมต่างๆก็แทบจะหมดเวลาแล้ว ที่ผ่านมาออกไปเยี่ยมชาวบ้านทุกวันเพื่อรับฟังปัญหาเอาไปแก้ไข แต่เมื่อมาถูกกล่าวหาเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร พร้อมที่จะต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป

จากนั้นพนักงานสอบสวนคุมตัวนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา และนายประเสริฐ พรมมิ 2 ผู้ต้องหาร่วมกันเป็นอั้งยี่และข้อหาอื่นๆ รวม 4 ข้อหา เดินทางไปที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง เพื่อขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ระหว่างวันที่ 19-30 ส.ค. เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำพยานอีกหลายปาก และรอผลพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติ โดยศาลได้พิจารณา และสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านตามคำร้อง อนุญาตให้ฝากขัง ขณะเดียวกันนายเธียรชัย ลาภ-ปรารถนา ทนายความพี่ชายนายพิพัฒน์ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้ โดยตีราคาประกัน 3 แสนบาท