ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยให้ความไว้วางใจเสมอ มักจะมอบภารกิจสำคัญให้รับผิดชอบ หนึ่งในภารกิจสมัยเป็นพรรคฝ่ายค้าน ถูกมอบหมายให้เป็นผู้เปิดอภิปรายพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
เขาคนนั้นคือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ ในยุคที่ไม่มีฝ่ายค้านในสภา ขออาสาทำหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 58 วงเงินจำนวน 2.575 ล้านล้านบาท ผ่านการให้สัมภาษณ์ ทีมการเมือง
โดยสวมบทในฐานะเคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร มองการจัดงบประมาณยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ได้วางยุทธศาสตร์การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเร่งรัดวางรากฐานที่ดีของประเทศ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี
เมื่อเปรียบเทียบงบประมาณปี 57 ปรากฏว่า แทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน พูดง่ายๆว่าลอกมาเกือบทั้งดุ้น เหมือนล้อนโยบายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ต่างเป็นงบประมาณขาดดุล งบประมาณปี 58 ตั้งงบประมาณขาดดุลเพียง 2.5 แสนล้านบาท งบประมาณลงทุนตั้งไว้ 4.5 แสนล้านบาท สูงกว่างบประมาณลงทุนของปี 57 เพียง 9 พันล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายประจำ ใช้หนี้ดอกเบี้ย เงินคงคลัง ส่วนงบประมาณกระทรวงต่างๆ ขอเน้นไปที่กองทัพ มีงบประมาณเพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาท
สะท้อนให้เห็นว่างบประมาณที่พรรคข้าราชการทำ จะเป็นงบประมาณประจำเสียส่วนใหญ่ ไม่มีนโยบายอะไรวิเศษเพิ่มเติมเหมือนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
...
ไปดูการจัดเก็บรายได้ของรัฐมาจากภาษีเงินได้นิติบุคคล 681,000 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 775,900 ล้านบาท ภาษีการขายเฉพาะพวกโภคภัณฑ์ น้ำมัน 490,830 ล้านบาท ภาษีสินค้านำเข้า-ส่งออก 110,800 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นตัวเลขหลักจากการจัดเก็บรายได้รวม 2.2 ล้านล้านบาท
หากปล่อยให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไป ประเทศจะตกอยู่ในอาการน่าเป็นห่วง เพราะภาพรวมรายจ่ายประจำแต่ละปีเพิ่มขึ้นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เมื่อดู 10 ปีย้อนหลัง
ประมาณการจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลังหลุดเป้าตลอด แสดงว่าถึงเวลาปฏิรูปวิธีการคำนวณจัดเก็บรายได้ให้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด จะได้จัดสรรรายจ่ายได้แม่นยำ
วันนี้อยากเห็น คสช.ใช้อำนาจพิเศษทำทุกอย่างได้ พวกมีอิทธิพล นักเลงไม่กล้าตอแยด้วย ขอให้รีบปฏิรูปการจัดเก็บภาษี ทำให้รอบคอบ รัดกุม ป้องกันบริษัทห้างร้านหลบเลี่ยงภาษี หลอกเอาค่าลดหย่อนภาษี
รวมถึงการขยายฐานจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุม ทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเกรงใจฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ เพราะสุดท้ายผลประโยชน์จะตกแก่ประเทศและการันตีรายได้ของรัฐในอนาคตที่เพิ่มขึ้น
ปัญหานี้หากเป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมือง คงไม่สามารถเดินหน้าทำได้ เพราะกระทบต่อคะแนนเสียงและฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจะวิ่งล็อบบี้
ที่สำคัญคือ พรรคข้าราชการเป็นคนใช้จ่ายงบประมาณโดยตรง คนรู้จักบรรดาบิ๊กข้าราชการผู้มีอำนาจอนุมัติโครงการนั้นๆจะมาวิ่งเต้น คสช.อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด
อีกปัญหาคือ การจัดทำงบประมาณที่ซ้ำซ้อนในแต่ละหน่วยงาน ที่ผ่านมารัฐบาลจากการเลือกตั้งไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะข้าราชการบางคน และพรรคการเมืองที่เข้าไปมีอำนาจในกระทรวงนั้น ต่างหวงงบประมาณในหน่วยงานของตัวเอง
คสช.เข้ามาบริหารประเทศได้ 3 เดือน ถ้าเข้าใจการทำงบประมาณแผ่นดิน ไม่ใช่จัดสรรงบประมาณแบบปกติเหมือนพรรคข้าราชการ ขอให้เริ่มต้นยกเครื่องการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน อย่าปล่อยให้งบประมาณซ้ำซ้อนในแต่ละหน่วยงาน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน
ขอยกตัวอย่างงบประมาณที่ซ้ำซ้อนมากในด้านความมั่นคง เช่น งบประมาณแผนรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ การแก้ปัญหาอาชญากรข้ามชาติ การคุกคามทุกรูปแบบ การต่อต้านก่อการร้าย มีงบประมาณสำหรับด้านนี้อยู่ก้อนหนึ่งรวมเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ด้วย
ขณะที่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ แบ่งเป็นแผนงานความมั่นคงแห่งรัฐ แผนงานระบบป้องกันประเทศ แผนงานความสงบเรียบร้อยในประเทศ เป็นงบประมาณอีกก้อนหนึ่งรวมเงินเดือนด้วย
วิธีทำงบประมาณที่ดีควรกำหนดให้ชัดเจนว่า แผนงานด้านนี้บริหารจัดการอย่างไร ใช้งบประมาณเท่าไหร่ ตีกรอบให้ชัดเจน อย่านำไปรวมกับเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาทำงานตามแผน เพราะเงินเดือนต้องอยู่ในหมวดงบรายจ่ายประจำ
งานที่ซ้ำซ้อนควรตั้งงบประมาณไว้หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลัก และให้อำนาจเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมทำงานได้ แต่ปรากฏว่าแต่ละหน่วยงานไม่ยอม ต่างฝ่ายอยากมีงบประมาณอยู่ในมือ เช่น งบประมาณเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทุกกระทรวงมีงบประมาณด้านนี้หมด เยอะเกินความจำเป็น
หรือเรื่องป้องกันการค้ามนุษย์ อาชญากรข้ามชาติที่อยู่ในยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง แต่งบประมาณก้อนนี้มีอยู่ในกระทรวงแรงงาน เรื่องการดูแลแรงงาน การลงทะเบียน การคุ้มครองแรงงานรวมการค้ามนุษย์ มีการแยกประเภทออกมาเพื่อพยายามมีงบประมาณไว้ใช้
สมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ทำไมไม่บูรณาการจัดสรรงบประมาณป้องกันตั้งงบซ้ำซ้อนในแต่ละหน่วยงาน นายสุรพงษ์ บอกว่า ในยุคนั้นเป็นรัฐบาลผสม ความเกรงใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลยังมีอยู่ และยังมีพรรคข้าราชการอีก ทำให้จัดสรรงบประมาณเชิงบูรณาการได้ยาก
แต่ในยุค คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เชื่อว่าสามารถจัดการได้ ขอให้โละระบบเก่าๆให้ได้ และรีบจัดสรรงบประมาณระบบแท่งตามภารกิจ ป้องกันตั้งงบประมาณซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน
เป็นไปตามหัวใจกำหนดนโยบายงบประมาณและแนวทางการจัดทำงบประมาณปี 58 โดยบูรณาการดำเนินภารกิจต่างๆ ทั้งในระดับกระทรวง หน่วยงานและพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งระบบ ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน
เมื่อดูภาพรวมแล้วขอยืนยันว่า งบประมาณปี 58 ยังไม่ได้เป็นไปตามหัวใจการกำหนดนโยบายงบประมาณ ขอสนับสนุนคสช.เต็มที่ ต้องทำให้ได้ รัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้งยอมรับว่าไม่สามารถทำได้
และยิ่งไม่มีฝ่ายค้านในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และมี สนช.หลายคนเป็นข้าราชการ เชื่อมั่นว่าจะไม่มี สนช.ท่านใดอภิปรายเชิงตรวจสอบงบประมาณ คงเออออ ห่อหมกตามที่พรรคข้าราชการเสนอเข้ามา สุดท้ายรัฐบาลชุดใหม่จะใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ
ฉะนั้น สนช.ทุกคนที่เข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ทำการบ้าน พลิกอ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ดูภาพรวมของงบประมาณ และดูภาพรวมของงบประมาณย้อนหลัง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างจริงจัง มีประสิทธิภาพ
ทีมการเมือง ถามว่า เป็นห่วง สนช.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณอย่างไรบ้าง นายสุรพงษ์ บอกว่า ถ้าผมเป็น สนช.มาจากภาคธุรกิจเห็นโครงการอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ คงล็อบบี้สมาชิกช่วยโหวตให้ผ่าน หากเป็น สนช.มาจากสายข้าราชการก็สนใจแต่งบประมาณในกระทรวงต้นสังกัด คงไม่มีการอภิปรายตรวจสอบ
ถึงได้บอกว่าพรรคข้าราชการประจำก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นในชั้นคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ขอให้เปิดให้สื่อมวลชนได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย จะได้นำข้อมูลมาเปิดเผยต่อสาธารณะ ให้สังคมช่วยกันตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส
สุดท้ายขอเสนอให้ สนช.ปรับลดงบประมาณทุกโครงการ 20-30 เปอร์เซ็นต์ มากองรวมไว้ เพื่อป้องกันข้อครหาเหมือนรัฐบาลก่อนหน้านี้ถูกระบุมีการคอร์รัปชัน 20-30 เปอร์เซ็นต์
ป้องกันพรรคข้าราชการกินรวบ.
ทีมการเมือง