ช่วงหลายวันมานี้ สังคมไทยเกิดกระแสตื่นตัวต่อคดีฆ่า-ข่มขืน เป็นอย่างมาก หลังเกิดเหตุการณ์สุดสะเทือนใจกรณีพนักงานรถไฟข่มขืน เด็กหญิงอายุ 13 ปี ก่อนจะโยนร่างออกนอกหน้าต่างขณะรถไฟกำลังวิ่งเต็มความเร็ว ทุกคนต่างประณามฆาตกรใจเหี้ยมรายนี้และคิดว่าโทษทัณฑ์เดียวที่ชายคนนี้สมควรได้รับคือการ “ประหารชีวิต”

แน่นอนว่าคดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงเสื่อมโทรมของสังคม แต่หากเราย้อนมองกลับไปในช่วงกว่า 20 ปีมานี้ เหตุการณ์การฆ่า-ข่มขืน สุดสะเทือนขวัญมีมาอย่างต่อเนื่อง “ไทยรัฐออนไลน์” ขอยกคดีดัง 5 คดี ที่คนไทยรับไม่ได้อย่างที่สุดมานำเสนอเพื่อเป็นบทเรียนและคติเตือนใจทุกท่าน

พนง.รถไฟ ฆ่าโหด ด.ญ.13 ขืนใจ-โยนทิ้งนอกหน้าต่าง

เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่วัน และยังคงสร้างบาดแผลลึกไว้ในใจกับผู้ติดตามข่าวมาตั้งแต่ต้น สำหรับกรณีการตามหาตัว ‘น้องแก้ม’ ด.ญ.วัย13 ปี ที่หายตัวไประหว่างนั่งรถไฟขบวนสุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นทุกฝ่ายต่างหวังว่าสาวน้อยวัยแรกแย้มคนนี้จะยังคงมีชีวิตอยู่ จึงประโคมข่าวตามหาตัวทั่วโลกโซเชี่ยล ทว่าเวลาผ่านพ้นไปได้เพียง 2 วัน ความหวังทั้งมวลก็ดับวูบลง

...

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้พบพิรุธ 1 ใน ลูกจ้างการรถไฟแห่งประเทศไทย และสอบเค้นกระทั่งยอมจำนนสารภาพว่า เขาคือผู้ลงมือขืนใจและทำร้ายร่างกายน้องแก้มก่อนจะโยนร่างลงจากขบวนรถไฟอย่างโหดเหี้ยมเกินมนุษย์

นายวันชัย แสงขาว ในวัย 22 ปี ฆาตกรเลือดเย็น ยอมปริปากรับสารภาพหลังถูกเจ้าหน้าที่สอบเครียดยาวนานร่วม 7 ชั่วโมง และด้วยการเปิดเผยขั้นตอนการลงมือนั้น ทุกคนแทบจะทรุดด้วยความตกใจและต่างสาปแช่งการกระทำที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นเพราะความมึนเมาจากการเสพยาและดื่มแอลกอฮอล์

ฆาตกรเปิดเผยว่า หลังนั่งดื่มเบียร์จนมึนเมาได้ที่ ก็เห็นเหยื่อที่ตนแอบมองตั้งแต่ขึ้นรถไฟในสถานีพุนพิน สุราษฎร์ธานี เดินเข้าห้องน้ำพอดี จึงเข้าทำร้ายร่างกายจนเหยื่อส่งเสียงขอความช่วยเหลือไม่ได้และลงมือข่มขืน จากนั้นหยิบผ้าปูที่นอนที่อยู่ใกล้กันมาเช็ดเลือดตามร่างกายเหยื่อและตัดสินใจโยนออกจากรถไฟ เด็กหญิงทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจในป่าริมทางรถไฟบริเวณเขาเต่า อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

แม้ตำรวจจะจับผู้กระทำผิดได้แล้วคำถามต่อมาที่สังคมยังคงฟาดฟันใส่อย่างต่อเนื่องคือ โทษของปีศาจร้ายคนนี้จะรุนแรงแค่ไหน

“ไอ้หนุ่ย” ฆาตกรบ้ากาม ข่มขืนเด็กนับ 10 ราย

อีกหนึ่งคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงท้ายปีที่ผ่านมา กับเหตุการณ์คนร้ายฆ่าข่มขืน "น้องการ์ตูน" ด.ญ.วัย 6 ขวบ ทิ้งศพหมกป่าหญ้าซอยลาซาล ก่อนจะหนีไปจนมุมถูกตำรวจ สภ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย จับกุมดำเนินคดีและศาลตัดสินประหารชีวิต ก่อนจะลดโทษคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต

ทุกคงจำกันได้ดีว่าตัวการในคดีนี้ คือ หนุ่มชาวพม่าที่ใช้ชื่อว่า “นายหนุ่ย” หรือ ติ๊งต่าง อายุ 36 ปี ซึ่งลำพังรูปคดีที่ไอ้หนุ่ยลงมือกับน้องการ์ตูน ก็โหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินคำสารภาพหมดเปลือก ว่าก่อนหน้านี้เคยก่อเหตุกับเหยื่อมาแล้วนับ 10 ราย โดยจะเลือกแต่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และฆ่าตายมาแล้ว 4 ศพ ยิ่งทำให้สลดหดหู่เกินบรรยาย

"เวลาเมาผมจะเกิดอารมณ์ทางเพศ ควบคุมตัวเองไม่ได้ พอพบน้องการ์ตูน ซึ่งอยู่คนเดียวที่ลานจอดรถ จึงออกอุบายพาไปเดินเล่น ก่อนฉุดเข้าพงหญ้าข้างทางและข่มขืนกระทำชำเรา แต่น้องการ์ตูนขัดขืน จึงใช้มือบีบคอจนแน่นิ่งไป ซึ่งเหตุลักษณะนี้ผมเคยทำมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง หลังพ้นโทษในคดีพรากผู้เยาว์ จากเรือนจำจังหวัดขอนแก่น”

คำพูดที่ออกจากปากคนร้าย ส่งผลให้ผู้ปกครองทุกคนหวาดผวาไม่กล้าทิ้งลูกไว้ตามลำพังอีก เพราะถึงแม้ไอ้หนุ่ยจะถูกจับไปแล้ว แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนประเภทนี้ไม่มีเหลืออยู่ในสังคมไทย

...

หนุ่มอำมหิต ฆ่า-ข่มขืน นางรำสาวมัธยมปลาย

เหตุการณ์ลืมไม่ลง ที่เกิดขึ้นตอกย้ำความไม่ปลอดภัยในทุกซอกหลืบของสังคม แม้กระทั่งในรั้วสถานศึกษา หนีไม่พ้นคดีสะเทือนขวัญที่คนร้ายบุกเข้าไปก่อเหตุข่มขืนและทำร้ายนักเรียนหญิง ซึ่งเป็นนางรำโปงลางคนดังของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี จนทำให้นักเรียนหญิงคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนหมดสติอยู่หลายวัน กระทั่งมาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2556

น.ส.แอน (นามสมมติ) เป็นเด็กขยัน เรียนดี และหน้าตาดี มีดีกรีเป็นถึงดาวโรงเรียน เธอมีจิตอาสาช่วยงานโรงเรียนทุกอย่าง ก่อนเกิดเหตุไม่คาดฝัน เธอไปซ้อมเป็นนางรำประจำวงโปงลางของโรงเรียน ไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่โรงเรียนในนามของ "ดาวเด่น" ประจำวงโปงลาง แต่ทว่าระหว่างทำกิจกรรม 'แอน' รู้สึกปวดหัวไม่สบาย จึงขอตัวกลับมานอนพักในห้องเก็บอุปกรณ์ดนตรีก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน

นายอาร์ม (นามสมมติ) เยาวชนอายุ 17 ปี อดีตนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ถูกไล่ออกเพราะพฤติกรรมสุดเกเร จึงผันตัวทำงานรับจ้างดูแลการจัดเครื่องเสียง และในวันเกิดเหตุก็ได้เข้ามาในโรงเรียนเพื่อดูแลเครื่องเสียงให้วงโปงลาง ช่วงเกิดเหตุเกิดไฟดับพอดี ฆาตกรที่ไม่ทิ้งสันดานเดิมจึงแอบเลี่ยงขึ้นไปบนตึก เพื่อขโมยสิ่งของตามอาคารเรียน

แต่เขากลับได้พบสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือร่างของ'แอน'ที่นอนป่วยตามลำพัง ทันใดนั้นอารมณ์ทางเพศก็พุ่งขึ้นเกินจะทานทน เจ้าตัวตัดสินใจเข้าไปข่มขืน แต่เหยื่อต่อสู้และข่วนร่างกาย จึงจับหัวเหยื่อโขกกับพื้นห้องและฟาดกับผนังจนสลบและข่มขืน กระทั่งสำเร็จความใคร่ก็เดินออกจากโรงเรียนไปตามปกติ

ผลจากการกระทำนั้น แม้เจ้าตัวจะมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็หนีความชั่วที่ก่อไว้ไม่พ้นเมื่อผลพิสูจน์ดีเอ็นเอระบุชัดว่า เขาคือคนอำมหิตผู้ก่อเหตุกับหญิงสาวผู้ไร้ทางสู้ และกฎหมายตัดสินให้ควบคุมตัวไว้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานี

...

ข่มขืน-ทารุณเด็กอนุบาล ดับคาห้องน้ำโรงเรียน

สำหรับกรณีข่มขืนเด็กขณะอยู่ในโรงเรียน การข่มขืนนางรำสาวไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก หากย้อนกลับไป 18 ปีที่แล้ว ในวันที่ 5 ก.ค. 2539 ภาพสุดสะเทือนใจได้ปรากฏต่อสังคมและทุกคนต่างรับไม่ได้เพราะเหยื่ออายุเพียง 4 ขวบ กับการพบศพ “น้องอ้อม” นักเรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในเขตบางพลัด กรุงเทพฯ ในสภาพนั่งพิงผนังห้องน้ำที่แยกออกไปจากตัวอาคารเรียน และทั่วร่างเต็มไปด้วยร่องรอยทารุณกรรม

สภาพศพของเด็กเคราะห์ร้ายถูกบีบคอจนเขียวช้ำ อวัยวะเพศมีร่องรอยถูกข่มขืนจนฉีกขาดมีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา

ที่น่าปวดใจกว่านั้นจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุ บ่งบอกชัดเจนว่าเด็กน้อยผู้นี้ได้ริ้นรนอย่างทุรนทุราย ก่อนค่อยๆหมดลมหายใจ อีกทั้งหลักฐานยังบ่งบอกว่าคนร้ายน่าจะจับเด็กกดน้ำอย่างทารุณ

แต่คราวนี้ตำรวจทำหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วทันใจ เพราะใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น “ไอ้พันธ์” หรือ นายพันธ์ สายทอง ผู้ที่มีประวัติพัวพันยาเสพติดและที่สำคัญเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียง 7 วัน ก็ถูกจับกุมได้ และศาลใช้เวลาในการสอบพยานอีกวัน ก่อนสั่งฟ้องและนัดตัดสินพิพากษาในวันรุ่งขึ้น

โดยศาลได้ตัดสินประหารชีวิต ในวันที่ 21 มิ.ย. ปี 2542 ด้วยการยิงเป้า จบชีวิตท่ามกลางความสาสมใจของประชาชนที่เฝ้าติดตามคดี

พ่อบังคับขืนใจลูก โบ้ยความผิดให้ลูกชาย

คดีของนายพันธุ์ ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตได้เพียงวันเดียว เหตุการณ์น่าตื่นตะลึงก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2539 มีผู้พบศพ “น้องนุ่น” เสียชีวิตอยู่ในห้องพักไม่มีเลขที่ของโรงงานแห่งหนึ่งย่านสุวินทวงศ์ กรุงเทพฯ ในสภาพนอนหงายอยู่บนหมอน ใบหน้าและร่างกายมีรอยฟกช้ำดำเขียว ตามตัวไม่พบบาดแผลของมีคม แต่ที่อวัยวะเพศมีรอยฟกช้ำ และมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดและทวารหนัก

...

ซึ่งฆาตกรมหาโหดรายนี้ คือ นายเดชา สุวรรณสุก พ่อของน้องนุ่นเอง แม้เจ้าตัวพยายามปฎิเสธมาโดยตลอด และโยนความผิดให้ลูกชายแท้ๆของตัวเอง

แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า นายเดชาเป็นคนชอบดื่มสุราเป็นประจำ เวลาเมาชอบทุบตีลูกเมีย ซึ่งก่อนที่นายเดชาจะมีน้องนุ่นนั้น เคยจับได้ว่าภรรยาของตนไปอยู่กับผู้ชายตามลำพังในโรงแรม หลังจากนั้นไม่นานภรรยาของนายเดชาก็ตั้งท้องขึ้นมาและคลอดออกมาเป็นน้องนุ่น ซึ่งนายเดชาฝังใจมาตลอดว่าน้องนุ่นไม่ใช่ลูกตัวเอง และจงเกลียดจงชังมาตลอด เวลานอนก็ให้นอนที่ปลายเท้า และตบตีน้องนุ่นเป็นประจำ

สุดท้ายผลการตรวจดีเอ็นเอระบุว่า น้องนุ่นไม่ได้เกิดจากนายเดชาจริง ตามที่เจ้าตัวเชื่อมาตลอด แต่หลักฐานทุกอย่างชี้ชัดว่านายเดชา คือผู้ลงมือกระทำต่อเด็กหญิงอย่างไร้มนุษยธรรม จนสุดท้ายเจ้าตัวยอมเปิดปากสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือข่มขืนน้องนุ่นจริง โดย ก่อนเกิดเหตุได้ไปกินเหล้าขาวกับเพื่อนจนเมาและกลับมาถึงบ้าน ด้วยความแค้นที่เมียของตนหนีไปอยู่กับชายอื่นทั้งๆที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ จึงลงมือข่มขืนน้องนุ่นอย่างทารุณ โดยข่มขืนทั้งทางอวัยวะเพศและทางทวารหนักถึงสองครั้ง จนมีเลือดไหลออกจากอวัยวะเพศของน้องนุ่น และเด็กน้อยทนความเจ็บปวดไม่ไหวประกอบกับเสียเลือดมากจึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ หลังจากถูกตัดสินว่าเป็นฆาตกร นายเดชา กลับเปิดเผยว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำต่อน้องนุ่น แต่ถูกตำรวจใช้กระบองไฟฟ้าจี้บังคับให้รับสารภาพ และยังคงปฎิเสธการฆ่าลูกมาโดยตลอด จนถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในวาระสุดท้าย

กรณีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า สังคมในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง บ้านเมืองที่ดูสวยงามเจริญด้วยอารยธรรมแต่จิตใจคนกลับต่ำทรามลงเรื่อยๆ ประชาชนอย่างเราก็ได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่รุนแรงรัดกุมขึ้น


และภาวนาว่าการกระทำทารุณครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเสียที !?