ใครที่สนใจประวัติศาสตร์โลกคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงความเกรียงไกรของ “จูเลียส ซีซาร์” นักรบผู้น่าเกรงขามแห่งโรมัน ซึ่งเป็นรัฐบุรุษคนสำคัญผู้ทำให้อาณาจักรโรมยิ่งใหญ่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักของชาวโลกตราบจนทุกวันนี้ โดยนำกองทัพโรมตีชนะยึดเมืองมากกว่า 800 เมือง เขากวาดมาเข้าอาณัติโรมหมด ตั้งแต่ยุโรปตอนเหนือจดยุโรปตอนใต้ จากสเปนไปเอเชียน้อย เลาะเรื่อยถึงอียิปต์
“ซีซาร์” เกิดวันที่ 12 กรกฎาคม เมื่อประมาณ 100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ครอบครัวเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ฐานะมั่งคั่ง บิดาชื่อว่า “เคอุส จูเลียส ซีซาร์” ส่วนมารดาคือ “ออเรเลีย คอตต้า” เขาเป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดโดยวิธีผ่าตัดหน้าท้อง แต่กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 16 ปี จึงต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว
ในยุคนั้น สาธารณรัฐโรมันกำลังตกอยู่ในวิกฤตการณ์เลวร้ายหลังสงครามพูนิคครั้งที่สอง ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ยากจนข้นแค้น บ้านเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายและแตกสามัคคี มีการก่อกบฏต่อต้านรัฐอย่างต่อเนื่องรุนแรง เพราะชนชั้นปกครองเอาแต่เสวยสุขไม่สนใจบ้านเมือง และแข่งขันแย่งชิงอำนาจกัน ขาดผู้นำที่จะมาสร้างความเป็นปึกแผ่นในชาติ แต่แล้วฟ้าก็ประทาน “จูเลียส ซีซาร์” ให้มาเป็นรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
หลังสะสมบารมีทางการเมืองได้มากพอ โดยไต่เต้าจากทหารหนุ่มตัวเล็กๆ ขึ้นมาเป็นผู้กำกับดูแลการเงินการคลังของรัฐ, ผู้ว่าการสเปน และกงสุล เขาได้ร่วมมือกับสองนายพลผู้ทรงอิทธิพลของสาธารณรัฐโรมันคือ “ปอมเปย์” และ “คราสซุส” จัดตั้งคณะไตรมิตร ขึ้นปกครองโรมันด้วยเสียงสนับสนุนจากสภาสูงเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงได้รับเลือกเป็นแม่ทัพใหญ่ยกพลออกไปรบกับพวกกอล หรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน ตีเมืองเล็กเมืองน้อยมาอยู่ในอาณัติโรมมากมาย
...
บารมีของเขาแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างไกล พร้อมกับฐานะที่มั่งคั่งขึ้น และศัตรูที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยภายหลังเขากับสองนายพลคู่มิตรเปิดศึกชิงดีชิงเด่นกันเองจนแตกหัก เพราะต่างก็อยากจะผูกขาดการปกครองโรม ผลสุดท้ายด้วยกำลังทหารและอำนาจบารมีที่เหนือกว่า ทำให้ “ซีซาร์” ยึดอำนาจสำเร็จ และได้รับเลือกเป็นผู้ชี้นำของโรม คุมการปกครองเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียวสมใจปรารถนาถึง 10 ปีเต็ม ต่อมาเมื่อยกพลปราบปรามตีดินแดนแอฟริกาและสเปนได้สำเร็จ จึงได้รับการยกย่องเป็น “หัวหน้าผู้เผด็จการ” ตลอดชีวิต
อย่างไรก็ดี คนที่เป็นใหญ่และอยู่ในอำนาจนานๆมักจะลุแก่อำนาจและหวงแหนเก้าอี้ จนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาไว้ “ซีซาร์” ก็เช่นเดียวกัน จากรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เขากลายเป็นผู้ทำลายสาธารณรัฐโรมัน แม้จะเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถในศึกสงคราม แต่ “ซีซาร์” ก็มีความทะเยอทะยานและกระหายอำนาจ จนขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายทารุณ
กระนั้น จุดอ่อนสำคัญที่นำไปสู่จุดจบคือ ความเมตตาที่เขามักหยิบยื่นให้ศัตรู ทั้งๆที่จับได้หลายหนว่ามีแผนลอบสังหารตน แต่เขากลับนิ่งนอนใจไว้ชีวิตซะทุกครั้ง กระทั่งต้องมาจบชีวิตโดยไม่ทันระวังตัว จากการถูกลอบสังหารของลูกเลี้ยงทรพี “มาร์คุส จูนิอุส บรูตุส” ขณะอายุได้ 55 ปี
ก่อนปิดฉากชีวิต มีลางบอกเหตุหลายอย่างที่บ่งชี้ว่า โรมกำลังจะสูญเสียนักรบและนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่ โดยหนึ่งวันก่อนวันเกิดเหตุ จู่ๆพายุก็โหมกระพืออย่างหนัก และมีดาวหางปรากฏบนท้องฟ้า ภรรยาของ “ซีซาร์” รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงอ้อนวอนสามีมิให้เดินทางไปประชุมสภาเซเนทในวันรุ่งขึ้น แต่เขากลับดื้อรั้นไม่ฟังคำทัดทาน อีกหนึ่งลางร้ายบอกเหตุคือ ขณะที่เขาเดินผ่านห้องโถงใหญ่ในเซเนท รูปปั้นของเขาได้หล่นลงมาแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ระหว่างนั้นมีชายผู้หวังดีแอบส่งจดหมายที่มีรายชื่อผู้ลอบทำร้ายและรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการลอบสังหารทั้งหมด กระนั้น “ซีซาร์” ไม่ไยดีแม้แต่จะเปิดจดหมายอ่าน กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิตมาถึง ในช่วงสายวันที่ 15 มีนาคม 44 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะที่กำลังยืนอ่านรายงานประชุมสภาเซเนท “ซีซาร์” ถูกลูกเลี้ยงทรพีปลิดชีพอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยคมดาบที่ปักทะลุลำคอ ส่งผลให้ล้มลงขาดใจตาย
จมกองเลือด
ความบ้าอำนาจและกระหายสงคราม เพื่อแผ้วถางทางสู่ความยิ่งใหญ่ ทำให้รัฐบุรุษของกรุงโรมสร้างศัตรูไว้มากมายรอบตัว แต่แล้วเขาก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันที่อยากจะขึ้นเป็นจักรพรรดิปกครองโรมัน เพราะสุดท้ายตำแหน่งจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมันตกเป็นของ“กายุส ยูลิอุส ไกซาร์ ออกุสตุส” บุตรบุญธรรมที่ถูกวางตัวให้เป็นทายาทการเมืองของ“จูเลียส ซีซาร์”.
มิสแซฟไฟร์