มะเร็ง!!! ภัยเงียบซึ่งถือเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย และเป็นภัยร้ายที่คุกคามสุขภาพชีวิตของประชากรทั่วโลก ทั้งยังเป็นภัยต่อความมั่นคงในระบบสาธารณสุขของโลก

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า ทั่วโลกพบผู้ป่วยมะเร็งปีละประมาณ 13 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 7.6 ล้านคน ซึ่งแนวโน้มผู้ป่วยและเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นทุกประเทศ และคาดว่าในอีก 16 ปี คือในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นประมาณ 13 ล้านคน

และนั่นคือสาเหตุที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างร่วมมือกันเพื่อสกัดมฤตยูร้ายอย่าง “โรคมะเร็ง” อย่างเต็มความสามารถและศักยภาพ โดยเฉพาะ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลที่เน้นเฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง ยิ่งต้องเร่งเครื่องปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากโรคมะเร็ง ทั้งตั้งเป้าที่จะเดินไปสู่การเป็นศูนย์มะเร็งอย่างครบวงจร


“เราเริ่มที่การป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็ง การตรวจค้นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็ง และป้องกันก่อนที่จะเป็นมะเร็ง ซึ่งการค้นหาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตั้งแต่เริ่มแรกสามารถทำให้รักษาหายขาดได้ พร้อมกันนั้นในกลุ่มที่เป็นแล้วหรือกระทั่งกลุ่มที่ยังไม่สามารถรักษาได้ ในปัจจุบันก็ให้มีการรักษาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี”  ศ.นพ. พิทยภูมิ ภัทรนุธาพร ผอ.รพ.จุฬาภรณ์  กล่าวพร้อมขยายความ ว่า ครบวงจรนั้นไม่ได้หมายถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยของประเทศ เข้ามาในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่หมายถึงการศึกษาหาสาเหตุเพื่อการป้องกัน โดยเฉพาะมะเร็งที่มีความแตกต่างระหว่างคนไทยกับยุโรป

สำหรับ รพ.จุฬาภรณ์ มีการบำบัดรักษามะเร็งอย่างครบวงจร เช่น การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้กับประชาชนทำให้ประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารเข้าถึงบริการ ด้วยการสร้างตัวอย่างวางแผน ควบคุม ป้องกัน และรักษามะเร็งตับ ท่อน้ำดี ในภาคอีสาน นอกจากนี้จากการที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จที่ จ.น่าน ทรงพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิตจากมะเร็งตับและท่อน้ำดี พระองค์ทรงโปรดให้ รพ.จุฬาภรณ์ และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ลงไปปฏิบัติการร่วมกันเพื่อค้นหาผู้ป่วย สาเหตุ เพื่อให้การป้องกันและรักษา

“ขณะนี้โครงการเกี่ยวกับมะเร็งที่ทำในกลุ่มชาวบ้าน จ.น่าน หากพบว่ารายใดเป็นมะเร็งก็จะให้มารักษาตัวที่ รพ.จุฬาภรณ์ ซึ่งเดิมที่ชาวบ้านไม่อยากมารักษาเพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าที่พักและการกินอยู่ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทางโรงพยาบาลจึงมีโครงการบ้านพักผู้ป่วยและญาติ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการทำงานที่ครบวงจรตั้งแต่ศึกษาหาสาเหตุ ตรวจหาเชื้อพยาธิในอาหาร ตรวจเลือด เก็บเนื้อเยื่อ เพื่อศึกษาหารหัสพันธุกรรมที่ผิดปกติ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาตรวจในพื้นที่ นำแพทย์-บุคลากรเข้าไปในพื้นที่ และนำผู้ป่วยเข้ามารักษาในโรงพยาบาล นั่นเป็นความหวังหนึ่งของการให้การรักษาแบบครบวงจร นอกเหนือจากการรักษาหลักซึ่งเป็นการรักษาโดยรังสีและยาเคมีบำบัดแล้วก็ยังมีกระบวนการของการวิจัย ค้นหาสาเหตุ เพื่อจะนำความรู้นั้นมาป้องกันและรักษาต่อไป” ผอ.รพ.จุฬาภรณ์ ฉายภาพให้เห็นถึงการดูแลรักษาคนไข้

คุณหมอพิทยภูมิ ยังเล่าด้วยว่า สิ่งที่โรงพยาบาลดำเนินอยู่ทุกวันนี้มาจาก พระปณิ-ธาน อันแน่วแน่ ของ สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่ทรงโปรดให้มีโรงพยาบาลเฉพาะทางมะเร็ง เพื่อให้การศึกษาค้นคว้าวิจัยและรักษาคนไทยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้คนไทยปลอดภัยจากโรคมะเร็ง และให้คนไทยเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ในฐานะของแพทย์ผู้ปฏิบัติงานนั้น สิ่งที่ทูลกระหม่อมทรงตั้งไว้ เป็นสิ่งที่แพทย์ทางด้านโรคมะเร็งทุกคนปรารถนาจะให้เกิดขึ้น

นอกเหนือจากการให้การบริการรักษาที่พยายามครอบคลุมในทุกมิติเพื่อให้คนไทยเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียมแล้ว ในส่วนของการพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือ รพ.จุฬาภรณ์ก็ทำอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้สั่งซื้อเครื่อง “ไฮเปอร์เธอร์เมีย” ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งด้วยความร้อนผ่านเครื่องเธอร์โมตรอน-อาร์เอฟ 8 ทำงานโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อนที่อุณหภูมิ 43 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิดังกล่าวจะทำลายเซลล์มะเร็งได้ดี ไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่นๆ ทั้งการรักษาด้วยเครื่องนี้จะเป็นการรักษาแบบเจาะจงได้ตรงตำแหน่งก้อนเนื้องอก โดยการทำงานจะได้ผลดีต่อเมื่อมีการใช้ควบคู่กับการรักษาแนวอื่น เช่น การฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด ซึ่งใช้ได้กับผู้ป่วยมะเร็งทุกชนิด และทุกระยะ

“ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ มีความร่วมมือในการทำวิจัยและรักษามะเร็งเพื่อสร้างความหวังให้กับผู้ป่วยมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง การตรวจอุจจาระ ส่องกล้อง ซึ่งถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่จะนำมาใช้กับนโยบายของสาธารณสุขในการป้องกันโรคมะเร็ง และในอนาคตสิ่งเหล่านี้โรงพยาบาลหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้คนไทยปลอดภัยจากโรคมะเร็ง” คุณหมอพิทยภูมิ กล่าวในที่สุด

ทีมข่าวสาธารณสุข เชียร์สุดหัวใจ กับเป้าหมายที่ รพ.จุฬาภรณ์ตั้งไว้ ในอันที่จะทำให้คนไทยปลอดภัยจากโรคมะเร็ง ภัยร้ายที่เป็นตัวการคร่าชีวิตประชากร

แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องขอฝากไว้ คือ การจะสานฝันให้คนไทยปลอดจากโรคมะเร็งเป็นจริงขึ้นมาได้นั้น แม้แต่หมอเทวดาหรือการมีเครื่องไม้เครื่องมือที่วิเศษสักปานใดก็คงไม่สามารถดลบันดาลให้สัมฤทธิผลได้ หากขาดสิ่งสำคัญนั่นคือ การใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาทของประชาชน

การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ แต่ลาภที่ประเสริฐนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความร่วมมือของตัวเรานั่นเอง.

...

ทีมข่าวสาธารณสุข