ความสามารถในการได้รับการจ้างงาน (Employability) กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการจัดการศึกษาในยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมาประกอบกับระบบทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับสังคมที่ยึดถือการทำงานเป็นสำคัญ (Work-OrientedSociety) ทำให้การศึกษาสนองความต้องการของสังคมและของบุคคลโดยการทำให้คนมีงานทำตามความต้องการทั้งของสังคมและของบุคลากรศึกษาเพื่อเตรียมคนเข้าสู่โลกของงานเรียกว่า “อาชีพศึกษา” (CareerEducation) จึงเป็นรูปแบบของการจัดการศึกษาของหลายประเทศทั่วโลก
“อาชีพศึกษา” เป็นการรวมเอาความคิด 2 ประการเข้าด้วยกัน ประการหนึ่งใช้รูปแบบ “การมีงานทำ” (Occupational Model) เป็นตัวกระตุ้น อีกประการหนึ่งจะใช้รูปแบบ “การเตรียมคนเข้าสู่โลกของงาน” (Career Model) การใช้รูปแบบ “การมีงานทำ” นั้นจะใช้ผู้เรียนเป็นผู้ได้รับการฝึกทักษะที่สอดคล้องกับงานหรืออาชีพที่จะปฏิบัติงานส่วนรูปแบบ “การเตรียมคนเข้าสู่โลกของงาน” จะใช้ระบบการศึกษาที่มีอยู่ให้การศึกษาแก่ผู้เรียนในวิธีและรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ในแต่ละช่วงของจุดสิ้นสุดขั้นการเรียนในแต่ละระดับ
จะเห็นได้ว่ารูปแบบ “การเตรียมคนเข้าสู่โลกของงาน” หรือ Career Model นั้น จะกว้างกว่ารูปแบบ “การมีงานทำ” หรือ Occupational Model ซึ่งไม่เน้นเฉพาะทักษะที่จะทำงานเท่านั้น แต่จะรวมถึงเจตคติ ความรู้ และความคิดของตนเองที่สร้างให้เกิดกระบวนการตัดสินใจโดย Career Model นี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเอง และดำเนินแผนการเรียนซึ่งแต่ละคนจะเป็นผู้กำหนดซึ่ง Model นี้ไม่ใช้เฉพาะผู้เรียนในวัยมัธยมศึกษาแต่จะใช้กับทุกคนที่เป็นผู้เรียนโดยไม่จำกัดด้วยอายุและจะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนได้สามารถค้นพบจุดมุ่งหมายของตนเองในการทำงานและเลือกงาน
สถานศึกษาส่วนมากที่มีอยู่ขณะนี้ใช้หลักสูตรเนื้อหาวิชาเป็นหลัก (Subject-Centered Curriculum) ขอบเขตและลำดับขั้นของทักษะต่าง ๆ ได้บรรจุไว้ในรายวิชาของแต่ละสาขาวิชาในแต่ละหลักสูตรและผู้เรียนก็เรียนตามลำดับที่จัดไว้ การประเมินความสำเร็จในแต่ละระดับการศึกษาไม่อาจจะประมาณได้ชัดเจนว่าแตกต่างกันอย่างไรในภาวะของความสามารถในการได้รับการจ้างงาน(Employability) เช่น ระดับ ปวช. สาขาบัญชี กับ ระดับ ปวส.สาขาบัญชี ซึ่งเป็นหลักสูตรประเภทเนื้อหาวิชาเป็นหลัก เป็นต้น
“อาชีพศึกษา” (Career Education) นั้นสามารถกำหนดเป็นขั้นต่าง ๆ พอสังเขปได้ดังนี้
1. ขั้น Career Awareness เรียกว่าเป็นขั้นตระหนักในอาชีพเป็นการสร้างเจตคติและค่านิยมของการทำงานให้ตระหนักถึงคุณค่าของอาชีพที่มีต่อการดำรงชีวิตโดยเรียนรู้จากระบบโรงเรียน และประสบการณ์ที่ได้รับจากบ้านและชุมชนการศึกษานี้จะเรียนในชั้นประถม 1-6 โดยยังไม่ให้รายละเอียดของงานมากนักจะกล่าวถึงงานและอาชีพโดยส่วนรวมเป็นการสร้างความคิดเกี่ยวกับโลกของงานและอาชีพเท่านั้น (World of Work)
2. ขั้น Career Orientation เรียกว่าเป็นขั้นสร้างพื้นฐานอาชีพให้ผู้เรียนได้รู้จักกลุ่มของอาชีพ (OccupationalClusters) ที่มีอยู่ในสังคมและเริ่มต้นในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นโดยคาบเกี่ยวกับประถมตอนปลายโดยเริ่มจาก ป.6 ไปจนถึง ม.2 เป็นการสอนให้ผู้เรียนได้รู้จักอาชีพในกลุ่มต่าง ๆ เพื่อหาอาชีพที่ตนเองชอบและสนใจที่จะมีชีวิตและทำงานในอาชีพนั้น
3. ขั้น Career Exploration เรียกว่าเป็นขั้นสร้างอาชีพที่ต้องการ อยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นคาบเกี่ยวกับมัธยมศึกษาตอนปลายตั้งแต่ ม.2-4 ในระดับนี้จะเป็นการเสริมสร้างอาชีพที่ผู้เรียนแต่ละคนสนใจในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ (Occupational Group within Clusters) ผู้เรียนจะรู้ว่าตนเองสนใจและต้องการจะมีอาชีพในกลุ่มใด
4. ขั้น Career Preparation เป็นขั้นเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพซึ่งจะอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นต้นไปเริ่มตั้งแต่ ม.4 จนถึงจบมหาวิทยาลัย โดยแยกระดับของความต้องการในการประกอบอาชีพถ้าผู้เรียนต้องการเป็นช่างฝีมือก็จะเข้าสู่โปรแกรมการฝึกอาชีพเป็นช่างฝีมือถ้าต้องการเป็นผู้มีวิชาชีพชั้นสูงก็เรียนต่อในสถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยต่อไป
นอกจากนี้ การศึกษานอกระบบยังได้มีการส่งเสริมและดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาในโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงการฝึกอาชีพในส่วนของผู้เรียนนั้นต้องการให้ผู้เรียนสามารถรู้จักตนเองและเลือกอาชีพได้อย่างถูกต้องในโลกของงานกระบวนการแนะแนวอาชีพต้องจัดให้มีขึ้นเพื่อมุ่งให้ผู้เรียนสามารถรู้จักตนเอง (Know Yourself) แล้วทำการสำรวจสิ่งที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับตนเอง (Explore Possibilities) จากนั้นก็จะสามารถหาทิศทางที่เหมาะสมสำหรับตนเอง (Set Directions) และดำเนินการเข้ารับการฝึกอาชีพหรือเรียนในสิ่งที่เหมาะสมกับตน (Take Action)
การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการศึกษาเพื่อการพัฒนานั้นเป็นการนำความรู้ ความคิด มาสู่การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัตินั้นต้องมีการรับรองอย่างเป็นรูปธรรม การตราพระราชบัญญัติเป็นการนำความคิด ความรู้มาสู่การปฏิบัติที่มีผลในการบังคับใช้ และการอาชีวศึกษาของประเทศไทยได้พัฒนามาถึงระดับของการมีพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 นับเป็นพัฒนาการมาถึงขั้นสูงมาก เนื่องจากการได้มีพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายที่ประกาศใช้แล้ว เป็นผลมาจากการรวบรวมความรู้ ความคิด หลักการ ทฤษฎีและปรัชญาด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาสู่การปฏิบัติที่มีบทบังคับให้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด จึงถือเป็นบทสรุปที่เป็นข้อยุติทางด้านความคิดที่มีต่อกระบวนการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอาชีพได้ระดับหนึ่ง
ดังนั้น การศึกษาเพื่อการมีงานทำจึงมีแนวทางการดำเนินงานตามหลักการและกระบวนการของพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษาส่วนการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์หรือ พัฒนาสังคม ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมคิดค้นวิทยาการต่าง ๆ เพื่อการชี้นำทางสังคม สร้างความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติให้มีความร่มเย็นเป็นสุข มหาวิทยาลัยควรหันกลับมาให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าการจัดการศึกษาที่มุ่งให้ผู้จบการศึกษามีงานทำ หรือมีความสามารถได้รับการจ้างงานเท่านั้น
...
รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์