หลายคนแสดงอาการกลุ้มใจจนออกนอกหน้าว่า ทำไมถึงไม่มีเพศตรงข้ามมาพิศวาสอยากจีบพวกเขา/พวกหล่อนสักที ทั้งๆที่ประกาศตัวว่าเป็นโสดมานานแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครหน้าไหนจะเข้ามาเหลียวแล เอ้ย ไม่เห็นมีใครที่ไหนจะใส่เกียร์เดินหน้าเข้ามาแจกขนมจีบสักที
ใครที่เจอปัญหาทำนองนี้ ขอแนะสักนิดเถอะว่า บางทีก็ต้องหันกลับไปมองตัวเองบ้าง ว่าทำไมเราถึง ยังไม่มีแฟนกะเค้าสักที? (พูดนี่ในกรณีของผู้ตั้งใจอยากมีแฟนอ่ะนะ แต่หากไม่อยากมีตอนนี้ คงไม่สนหรอก ว่าจะมีใครเข้ามาสะดุดรักเราไหม?) เพราะการที่ยังไม่มีใครมาเมียงมองคุณสักที ทำให้เกิดความพิศวงได้ว่า อ้าวทำไมล่ะ ในเมื่อคุณก็ไม่ได้ผิดปกติหรือ แตกต่างไปจากคนอื่นซะหน่อย แต่ทำมั๊ย ทำไมถึงยังไม่มีคู่สักทีนะ รู้ปะการกลายเป็นคนไม่มีใครจีบนั้น สามารถส่งผลในเชิงจิตวิทยาโดยจะไปบั่นทอนความมั่นใจในตัวเองไม่ว่าเขาหรือเธอจะเป็นหญิงหรือชายได้นะ
บอกได้เลยว่า แม้แต่ผู้ชายบางคนที่ยังไร้คู่ก็เคยนึกสงสัยเหมือนกันแหละว่า ทำมั๊ย ทำไม เขาถึงจีบผู้หญิงกี่คนๆ กลับไม่เห็นมีสาวคนไหนตอบรับคำเชิญชวนไปเป็นแฟนกับเขาสักที เอ๊ะหรือตูมีอะไรที่ไม่โดนใจเพศตรงข้ามหรือเปล่า? โถ..ถ้าถามอย่างนี้ก็สามารถตอบได้เลยว่า ก็แหงสิยะ หากมีดีแล้วจะกินแต่แห้วรึ
อย่างที่บอก คนที่พร้อมจะมีแฟน (ไม่ว่าชายหรือหญิง) แต่ยังไม่มีตามใจปรารถนา สักที คง ต้องหันไปย้อนดูตัวเองและปัจจัยรอบด้านอีกหลายอย่าง ด้วยกัน ว่าทำไมถึงมีชะตากรรมหยั่งงี้ เช่น.....
* แน่ใจหรือเปล่าว่า คนที่คุณไปชอบนั้นเป็นโสดจริง
หากคนที่คุณอยากแอ้ม อยากได้มาเป็นคู่ใจ ดันมีแฟนอยู่ทนโท่แล้ว เพราะฝ่ายโน้นไม่ได้เป็นโสดละก็ ถ้าขืนไปชอบคนที่มีแฟนแล้วจะไปสมหวังได้ไง ฟะ ต่อให้คุณเป็นคนที่คนนั้นก็มองๆ หรือเหล่ๆ ไว้อยู่เหมือนกัน แต่ถามจริงๆเหอะ ถ้าเขานอกใจแล้วคนดีอย่างคุณจะกล้าทำร้ายจิตใจของแฟนเขารึ?
แม้เดี๋ยวนี้มีคนเห็นแก่ตัวมากมาย และหน้าด้านพอที่จะฉกเอาแฟนคนอื่นมาเป็นของตัวเองแบบนางร้ายในละครโทรทัศน์ก็เถอะ แต่ถามจริงคุณกล้าทำจริงๆรึ? คงต้องถามใจตัวเองหลายๆรอบอยู่นะ
* มีสิ่งภายนอกที่ชวนให้ผู้คนสนใจบ้างไหม?
แบบว่า คุณมีสิ่งดึงดูดทางเพศบ้างหรือเปล่า? จะลองสังเกตเองหรือถามเพื่อนๆ ให้ยืนยันก็ได้ว่า คุณมีดีเรื่องรูปร่างหน้าตาใช่ไหม? มีดีที่การแต่งตัวสะอาดสะอ้านหรือสกปรกซกมก, มีบุคลิกเป็นผู้ดีมากกว่าผู้ร้าย ประมาณนั้น ถ้าคุณมีสิ่งดีๆตามที่กล่าวมาแล้ว ยังไงซะ เชื่อขนมกินได้เลยว่า อีกไม่นานมีแฟนแน่
ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีสิ่งดึงดูดหรือสะดุดตาจากภายนอกเลย คงยากที่จะมีใครเข้ามาตีสนิทนะ เพราะคิดดู เวลาคุณไปสะดุดรักใคร อย่างแรกเลยคนนั้นต้องมีอะไรสักอย่างที่ดูเข้าท่าซะจนคุณอยากรู้จักเช่นกัน โอ้ย ใครว่าคนเรามองกันที่จิตใจและพิจารณากันที่ ความดีเท่านั้น.....ตรงนี้ไม่เถียงหรอก แต่สิ่งแรกจริงๆที่จะทำให้พวกเรานึกอยากรู้จักหรืออยากสานสัมพันธ์ด้วย หนีไม่พ้นการใช้สายตาพิจารณาว่าอีกฝ่ายมีดีตรงไหนที่ชวนให้ลุ่มหลงต่างหาก ทว่ามนุษย์แต่ละคนย่อมมีรสนิยมชมชอบคนอื่นแตกต่างกันไป ดังนั้นสิ่งดึงดูดภายนอก จึงไม่ใช่แค่สวย, หล่อ, เท่ นะ แต่เป็นอะไรก็ได้ ที่ทำให้คนสองคนเชื่อมโยงถึงกันได้
* กล้าแสดงออกหรือเปล่าล่ะ?
ข้อนี้ทำให้นึกถึงคำคมจากหนังเรื่องมาย เบสต์ เฟรนด์ เวดดิ้ง แฮะ “หากคุณรักใครสักคนจงพูดมันออกมา พูดออกมาดังๆเดี๋ยวนั้นเลย มิฉะนั้นโอกาสก็จะหลุดลอยไป”
สรุปง่ายๆคือ ถ้าไปชอบใคร แล้วกล้าบอกฝ่ายนั้นไหมว่า คุณชอบเขา เพราะขืนแอบชอบอยู่เงียบๆ ในใจ อีกฝ่ายคงไม่รู้ไม่ชี้กับคุณด้วยหรอก ดังนั้นจึงต้องถามตัวเองไงว่า กล้าแสดงออกมากน้อยแค่ไหน?
บางคนแค่จะเข้าไปทำความรู้จักกับ “คนที่ตัวเองชอบ” ยังไม่กล้าเลย แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนเล่า
แต่จะพูดไป รู้สึกเห็นใจ “พวกที่ไม่กล้าเข้าหา” คนที่ตัวเองชอบอยู่เหมือนกันนะ เพราะถ้าคุณไม่รู้จัก “คนที่ตัวเองชอบ” มาก่อน จะให้ไปบอกว่า ชอบเขาก็กระไรอยู่ ทางที่ดีจึงควรทำความรู้จักกันซะก่อนดีกว่า
ส่วนพวกที่รู้จักคนที่ตัวเองชอบมานานแล้ว กลับไม่เคยบอกเขาเลยนี่สิ ขืนชักช้าหรือไม่กล้าสักที ระวังจะชวดจากเขาเอานะ ถ้าไม่ได้ใจจากเขาขึ้นมาก็สมน้ำหน้า แหม มีโอกาสบอกแต่ขาดความกล้า ก็แย่เนอะ
* ถูกเพื่อนแย่งเวลาส่วนตัวของคุณไปหมด จนไม่เหลือที่จะไปสนใจใครหรือเปล่า?
ถ้ายังไม่มีแฟนด้วยเหตุผลนี้ละก็ คงต้องถอยห่างจากการคลุกคลีกับเพื่อนๆ บ้างแล้ว เคยได้ยินไหมว่า “คนที่ติดเพื่อน” มักหาแฟนยาก แต่บางรายแม้ติดเพื่อน ทว่าเพื่อนทำตัวเป็นแม่สื่อชักนำให้ไปพบรักก็มี
การได้รู้จัก “ใครสักคน” ผ่านเพื่อนๆ จะมีข้อดีตรงที่เพื่อนของคุณอาจเห็นชอบกันแล้วไงว่า ปล่อยให้คุณไปสานสัมพันธภาพกับคนที่พวกเพื่อนๆแนะนำให้รู้จักน่ะดีแล้ว แสดงว่า เพื่อนรู้จักคนที่มาจีบคุณ เอ๊ะ หรือคุณไปจีบเขาก็ไม่รู้แล้ว ดังนั้นทั้งเพื่อนและ “ว่าที่แฟน” จึงไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวเข้าหากันมากเท่าไหร่ ไม่เหมือนปล่อยให้คุณไปเมียงมองหาแฟนเอาเอง แล้วมาแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักทีหลัง
อย่างนี้ทั้งเพื่อนและ “ว่าที่แฟน” ย่อมต้องใช้ เวลาปรับตัวเข้าหากัน ก็ไม่เป็นไร ถ้าเพื่อนเป็นมิตรที่ดีซะอย่าง ย่อมไม่ขัดขวางความสุขกันอยู่แล้วยกเว้นไปเจอเพื่อนขี้อิจฉา อิจฉาที่คุณจะมีแฟน อย่างนี้อย่าเรียกว่าเพื่อนดีกว่า เพราะถ้าเป็นเพื่อนจริงจะอิจฉากันทำไม อิจฉาแล้วได้อะไร เห็นเพื่อนมีความสุขก็ควรสุขด้วยสิ.
@@@
...