สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ที่รัก ไทยรัฐออนไลน์ครั้งนี้ขอเริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆ คุณครูลิลลี่ขอเอาบุญมากฝากทุกท่านนะคะ เพราะเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนคุณครูลิลลี่ได้จัดหลักสูตรปฏิบัติธรรมที่มีชื่อ ว่า “อภิชาตบุตร” ซึ่งเป็นธรรมะหลักสูตรพิเศษเพื่อเด็กๆ เยาวชน ในระดับน้องๆ หนูๆ โดยเฉพาะเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นการปลูกฝังหลักธรรมและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าสู่จิตใจตั้งแต่วัยเยาว์ ตามความเชื่อว่าเด็กๆ เหมือนผ้าขาว เราระบายสีอะไรลงไปก็จะได้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเรามอบสิ่งที่ดีให้กับเขาตั้งแต่ตอนนี้ โตขึ้นไปก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคตนั่นเอง

พูดถึงหลักสูตรอภิชาตบุตร อย่างที่คุณครูบอกไว้ข้างต้นว่าเป็นหลักสูตรธรรมะสำหรับเด็ก เพราะฉะนั้นก็มีเรื่องความไร้เดียงสาของเด็กๆ มาฝากกัน ซึ่งก็อาจจะเป็นความรู้ทางภาษาไทยไปถึงผู้ใหญ่หลายๆ คนได้ด้วย มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถามคุณครูว่า คุณครูครับผมมาเข้าร่วมหลักสูตรอภิชาตบุตรแต่ผมยังไม่รู้เลยว่าอภิชาตบุตร คืออะไร หมายความว่าอะไร แล้วถ้าผมจบโครงการนี้แล้วผมจะกลายเป็นอภิชาตบุตรเลยไหมครับ แล้วพอเป็นแล้วผมต้องทำอย่างไรบ้างให้สมกับที่ผ่านการฝึกฝนจนเป็นอภิชาตบุตร ... เห็นไหมคะ นี่แหละค่ะคือความไร้เดียงสาของเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ชวนบ้าง ขอร้องบ้าง บังคับบ้างให้มาปฏิบัติธรรม เจ้าตัวก็ยอมมา แต่ยังไม่รู้หรอกว่า ความหมายจริงๆ ของอภิชาตบุตรคืออะไร รวมไปถึงคุณผู้อ่านหลายๆ ท่านด้วย คุณครูลิลลี่เชื่อว่าหลายๆ ท่านเคยได้เรียนมาแล้วว่า บุตรมีกี่ประเภท แต่ละประเภทหมายถึงอะไรบ้าง แต่จนป่านนี้หลายท่านก็อาจจะหลงลืมไปแล้ว เพราะฉะนั้น มาทางนี้ค่ะ คุณครูลิลลี่จะขออธิบายให้ฟัง ตามหลักของมงคลชีวิต 38 ประการ ในมงคลข้อที่ 12 ที่ เรื่องการเลี้ยงดูบุตรธิดา หรือ ปุตตะสังคะโห คำว่า “บุตร” มาจากคำว่า ปุตต แปลว่า ลูก มีความหมาย ๒ ประการคือ

1. ผู้ทำสกุลให้บริสุทธิ์
2. ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม

และในมงคลชีวิตได้กำหนดประเภทของบุตร โดยแบ่งตามความดีได้เป็น 3 ระดับชั้น ดังนี้
1. อภิชาตบุตร คือ บุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา เป็นบุตรชั้นสูง สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล
2. อนุชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรมเสมอบิดามารดา เป็นบุตรชั้นกลาง ไม่สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสื่อมลง
3. อวชาตบุตร คือ บุตรที่เลว มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่ เป็นบุตรชั้นต่ำ ไม่รู้จักทำมาหากิน มีแต่จะขอจากพ่อแม่อย่างเดียว เป็นบุตรที่นำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล

พอคุณครูลิลลี่อธิบายให้ เด็ก ๆ ได้ฟังความแตกต่างของบุตรทั้ง 3 ระดับชั้น ก็เลยถามพวกเด็กๆ กลับไปว่า ได้ฟังแล้วอยากเป็นบุตรแบบไหน แทบไม่ต้องเฉลยกันเลยทีเดียวว่า ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากเป็นอภิชาตบุตร นั่นเอง ... ได้ผลค่ะ จากคำถามที่ไร้เดียงสาของเด็กคนหนึ่งกลายเป็น พุทธิปัญญา (ขออธิบายเพิ่มเติมตามประสาครูภาษาไทยไว้อีกนิดนะคะว่า พุทธิ หมายถึง ความฉลาด ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ พุทธิปัญญา จึงหมายถึงความฉลาดอันเกิดจากการเรียนรู้และคิดได้) และพุทธิปัญญาก็ส่งผลให้เด็กๆ ทุกคนมีสมาธิ และตั้งใจปฏิบัติธรรมในครั้งนี้กันอย่างตั้งอกตั้งใจเพราะขึ้นชื่อว่าเด็กไทยใฝ่ดีแล้วละก็ ทุกคนย่อมอยากเป็น อภิชาตบุตร อย่างแน่นอน สวัสดีค่ะ

...