พ่อลูกเจ้าของบ่อกุ้งเมืองคอนเข่าทรุด หลังจับกุ้งในบ่อกลับพบแต่ปลาหมอคางดำ เสียหายกว่า 3 แสน วอนรัฐหามาตรการเยียวยา ตั้งข้อสังเกตบ่อระบบปิดมีระบบกรองน้ำก็ยังพบ ชี้ ทีแรกแยกไม่ออกว่าเป็นปลานิลหรือปลาหมอคางดำ

กรณีปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ที่ในปัจจุบันกลายเป็น “เอเลี่ยนสปีชีส์” หรือสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและทำลายสัตว์น้ำประจำถิ่น ตามแหล่งน้ำธรรมชาติหรือบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวประมงอย่างหนักในพื้นที่ 16 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ทางสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งปากพนัง ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสงขลา-นครศรี ได้จัดงบประมาณสนับสนุนการปฏิบัติการกำจัดปลาหมอคางดำ บริเวณบ่อบำบัดน้ำเสียเนื้อที่ 184 ไร่ของโครงการชลประทานเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเลบ้านหน้าโกฏิ หมู่ 10 ต.ขนาบนาก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ในวันที่ 14 ก.ค. 2567 พบว่ามีประชาชนมาร่วมกิจกรรมกันจำนวนมากสามารถจับปลาหมอคางดำขึ้นมาจำหน่ายและนำกลับไปประกอบอาหารกินในครัวเรือนกว่า 3 ตัน และมีรายงานพบเพิ่มในจังหวัดนครศรีธรรมราชอีก 1 อำเภอคือ อ.เชียรใหญ่ ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

...

ต่อมา วานนี้ (17 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายไพโรจน์ รัตนรัตน์ สมาชิกสภาเกษตร จังหวัดนครศรีธรรมราชว่า มีเกษตรกรผู้ประกอบการเลี้ยงกุ้ง ตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำของรัฐบาล ในพื้นที่ หมู่ 4 ตำบลเกาะเพชร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ประสบปัญหาปลาหมอคางดำรุก แพร่ระบาดลงภายในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้ง เมื่อถึงกำหนดการจับกุ้งปรากฏว่า มีปลาหมอคางดำหลายหมื่นตัวยั้วเยี้ยเต็มบ่อเลี้ยงกุ้ง ทำให้ได้กุ้งจำนวนน้อยกว่าปกติ 

จึงร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบที่บ่อเลี้ยงกุ้ง พบนายวรรณะ ยอดแก้ว อายุ 71 ปี และนายกรวิทย์ ยอดแก้ว อายุ 49 ปี บุตรชาย ซึ่งเพิ่งเสร็จจากการเปิดบ่อจับกุ้งที่เลี้ยงไว้ โดยในบ่อยังมีเพื่อนบ้าน จำนวนหนึ่งลงไปทอดแห และใช้สวิงช้อนจับปลาหมอคางดำซึ่งยังลอยเป็นแพดำมืดไปทั้งบ่อ ทั้งที่ได้มีการจับปลาหมอคางดำไปในช่วงเปิดบ่อจับกุ้งเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) แล้วกว่า 1 ตัน คาดว่าเพื่อนบ้านมาจับปลาหมอคางดำได้อีกกว่า 500 กก.รวมปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยงกุ้งประมาณ 1.5 ตัน ตอนนี้ในบ่อเหลือปลาหมอคางดำตัวเล็กๆ ในบ่อกุ้งอีกนับหมื่นตัว

นายกรวิทย์ บุตรชายเจ้าของบ่อกุ้ง เปิดเผยว่า ครอบครัวทำอาชีพเลี้ยงกุ้งในพื้นที่ดังกล่าวตามโครงการส่งเสริมของรัฐบาลมานานหลายปีแล้ว สำหรับบ่อนี้มีความกว้าง 2.5 ไร่ ปล่อยกุ้งเลี้ยงจำนวน 2 แสนตัวตามปกติเมื่อถึงระยะเวลาในการจับประมาณ 4 เดือนจะได้กุ้งจำนวนไม่น้อยกว่า 4 ตัน ตัวกุ้งใหญ่ขนาด 30-35 ตัว/กก. ซึ่งในครั้งที่แล้วได้กุ้งในบ่อถึง 6 ตัน สำหรับในครั้งนี้ ตนและพ่อตั้งใจว่าจะเลี้ยงในระยะเวลา 4 เดือนครึ่ง เพื่อให้ได้กุ้งน้ำหนัก 28 ตัวต่อกิโลกรัม โดยยอมจ่ายค่าอาหารเพิ่มขึ้นและค่าอาหารแพงมาก กระสอบละ 1,060 บาท 

...

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) เป็นวันครบกำหนดจับกุ้ง ตนและพ่อตกใจมากเมื่อเห็นปลาหมอคางดำที่ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นปลานิลอยู่ในบ่อเป็นจำนวนมาก และได้กุ้งทั้งบ่อได้แค่ประมาณ 2.6 ตัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าปกติมาก อย่างน้อยที่สุดควรจะได้ 4 ตันขึ้นไป ในสภาพแบบนี้บอกตรงๆ ว่าใจหาย เพราะการเลี้ยงกุ้งต้นทุนสูงราคาอาหารแพง ราคากุ้งก็ถูกกว่าปกติ 28-30 ตัว กิโลกรัม ได้ราคาสูงสุดแค่ 188 บาทเท่านั้น ทั้งที่ควรจะได้ราคากิโลกรัมละ 200 บาทขึ้นไป

...

"จำนวนกุ้งที่หายไป จากปกติกว่า 1.5 ตัน นั่นคือเงินที่หายไป เมื่อบวกกับค่าอาหารเลี้ยงกุ้งที่เพิ่มจากปกติ เกือบ 100,000 บาท และค่าไฟเดือนละเกือบ 20,000 บาท ค่าดูแลค่าบริหารจัดการต่างๆ จึงทำให้การเลี้ยงกุ้งในเที่ยวนี้ขาดทุนไป 3-4  แสนบาท จึงอยากให้ทาง ราชการ ช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ประสบปัญหา การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำโดยด่วนที่สุด เพราะเราเลี้ยงตามโครงการสนับสนุนของรัฐบาล" ลูกชายเจ้าของบ่อกุ้ง กล่าว 

นายกรวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับเกษตรกรโดยทั่วไป ก่อนหน้านี้เขาอาจจะแยกแยะไม่ออกว่าเป็นปลาหมอคางดำเพราะมันมีลักษณะเหมือนกับปลานิล ซึ่งตามปกติปลานิลกับกุ้งสามารถเลี้ยงในบ่อเดียวกันได้เพราะปลานิลจะช่วยในการกินตะไคร่น้ำรวมทั้งขี้กุ้งในบ่อกุ้ง อย่างไรก็ตามในส่วนของบ่อเลี้ยงกุ้งของตนบ่อนี้เป็นการเลี้ยงระบบปิด ไม่มีทางที่ปลาหมอคางดำจากแหล่งน้ำธรรมชาติจะหลุดเข้าไปในบ่อกุ้งได้ ซึ่งยังหาสาเหตุและจุดที่ปลาหมอคางดำแพร่ระบาดกันอยู่ ว่าปลาเข้าไปในบ่อเลี้ยงกุ้งได้อย่างไร 

...

ลูกชายเจ้าของบ่อกุ้ง กล่าวถึงขั้นตอนการนำน้ำเข้าบ่อว่า เริ่มตั้งแต่การสูบน้ำจากบ่อพักซึ่งเป็นบ่อที่รับน้ำฝน ไม่ได้สูบน้ำจากร่องน้ำหรือแหล่งน้ำที่ทางราชการเขาจัดเตรียมไว้ให้เกษตรกร เมื่อสูบน้ำเข้าบ่อเลี้ยงกุ้งก็มีการกรองน้ำถึง 2 ชั้น โดยในระยะเวลาการเลี้ยง 4 เดือนครึ่ง ในช่วงแรก 2 เดือนครึ่งไม่พบว่ามีปลาหมอคางดำในบ่อกุ้งแต่อย่างใด จึงคาดว่า ปลาหมอคางดำเพิ่งเข้าไปในบ่อกุ้งในช่วงที่กุ้งมีอายุกว่า 2 เดือนครึ่งแล้ว เพราะในระยะดังกล่าวเริ่มเห็นปลาหมอคางดำ แต่เข้าใจว่าเป็นปลานิลอยู่ในบ่อเป็นจำนวนมาก จึงไม่ได้จับหรือใช้กากชาโรย ในบ่อทำลายหรือฆ่าปลาหมอคางดำ ยังโชคดีที่ปลาหมอคางดำ กินกุ้งที่ขนาดใหญ่ไม่ได้ แต่จะกินกุ้งที่ตัวยังขนาดเล็ก หากปลาหมอคางดำ แพร่ระบาดเข้าไปในบ่อกุ้งตั้งแต่กุ้งยังเล็กๆ กุ้ง คงถูกกินเกลี้ยงบ่ออย่างแน่นอน 

ขณะที่ นายไพโรจน์ รัตนรัตน์ สมาชิกสภาเกษตร จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาด พบปัญหาเพิ่มขึ้นหลายเรื่อง โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำลงไปในบ่อเลี้ยงกุ้ง ซึ่งหากเลี้ยงตามธรรมชาติก็มีโอกาสเข้าไปได้ไม่ยาก แต่การเลี้ยงระบบปิดบ่อเก็บน้ำก็เป็นบ่อปิดเก็บกักน้ำใน  เมื่อสูบน้ำเข้าบ่อก็ยังกรอง 2 ชั้น ปลาหมอคางดำมันเข้าไปได้อย่างไร โดยเฉพาะบ่อของนายวรรณะ และนายกรวิทย์ ยอดแก้ว สองพ่อลูก เขาเพิ่งพบว่ามีลูกปลาหมอคางดำแต่เข้าใจว่าเป็นปลานิลเมื่อกุ้งมีอายุ 2.5 เดือน เขาจึงไม่จับหรือโรยกากชาฆ่าปลาหมอคางดำ เพราะเข้าใจว่าเป็นปลานิล

สมาชิกสภาเกษตร จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวด้วยว่า ปกติแล้วปลานิลเลี้ยงคู่กับกุ้งในบ่อเดียวกันได้ เพราะคุณลักษณะของปลานิล จะช่วยในเรื่องการปรับสภาพน้ำในบ่อ เพราะช่วยกินตะไคร่น้ำและขี้กุ้ง จึงปล่อยเอาไว้ด้วยกันได้ แต่เพิ่งมาทราบว่าเป็นปลาหมอคางดำเมื่อ 4-5 วันก่อนกำหนดจับ ตอนนี้เกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวของต้องติดตามศึกษาวิจัยหาสาเหตุที่ปลาหมอคางดำหลุดเข้าไปในบ่อเลี้ยงกุ้งอย่างจริงจัง โดยส่วนตัวตั้งสมมติฐานที่เป็นสาเหตุที่คาดไม่ถึงไว้ 2-3 ประการ จะเปิดเผยในโอกาสต่อไป.