พรรคเพื่อไทย แถลง อ้างต่อสัญญา 30 ปี บีทีเอส ส่อพิรุธ มีเอกชนรายเดียวไม่เปิดประมูล แถมเอื้อประโยชน์ให้ญาติ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 10 พ.ค. จ่อส่งดีเอสไอสอบ อ้างเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ฮั้วประมูล

วันที่ 9 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณีที่ กทม.ต่อสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าให้ BTS เป็นเวลา 30 ปี โดยนายพร้อมพงศ์ระบุว่า การต่อสัญญาดังกล่าว น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (พ.ร.บ.ฮั้ว) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. เหลือวาระดำรงตำแหน่งเพียง 8 เดือน จึงมีอาการลุกลี้ลุกลนกระทำเรื่องนี้อย่างมีนัย เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนรายเดียว เพราะเมื่อดูสัญญาหลักที่ทำไว้ การต่อสัญญาจะต้องได้รับการอนุมัติจาก ครม. แต่ทาง กทม.ไม่ทำตามนั้น ไปมุบมิบมัดมือชก ต่อสัญญาด้วยตัวเอง

ซึ่งการหยิบยกเหตุผลมาอ้างของ กทม.ว่าต้องรีบต่อสัญญา เพราะถ้าปล่อยให้หมดอายุแล้วต่อสัญญา ราคาจะสูงกว่าเดิมนั้น อยากถามว่ารู้ได้อย่างไร น่าจะเป็นปฏิบัติการทิ้งทวนอย่างน่าเกลียดที่สุดมากกว่า ทั้งนี้อยากให้กระทรวงคมนาคม นำโครงการมาดูแลเองจะเป็นประโยชน์กับประชาชน และประเทศชาติมากกว่าปล่อยให้  กทม.ปู้ยี่ปู้ยำ

ทั้งนี้ตนจะนำเอกสารหลักฐานสัญญาไปยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เอาผิดต่อผู้ว่าฯ กทม. และคณะผู้บริหารทั้งชุด ในวันที่ 10 พ.ค.เวลา 10.00 น.

ด้านนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ส่อพิรุธชัดเจน โดย กทม.ใช้วิธีซิกแซ็ก ใช้ข้อกฎหมายอันแยบยลไม่ต่อสัญญากับ BTS โดยตรงแต่ใช้บริษัทกรุงเทพธนาคม หรือ KT มาบังหน้า ส่อผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ฮั้ว ทำให้กทม.เสียประโยชน์ และคนกทม. ต้องใช้ไฟฟ้าราคาแพง สำหรับการทำสัญญา 30 ปีดังกล่าวของ กทม. มันไปเหมารวมในส่วนที่ BTS ได้สัมปทานเหลืออยู่อีก 17 ปี หรือจนถึงปี 2572 ด้วย ทำให้ได้ประโยชน์ในสัญญาต่อไปอีก 13 ปี โดย กทม.ได้ใช้ KT ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ กทม.มาดำเนินการเรื่องสัญญา ก่อนที่จะไปจ้าง BTS ต่ออีกที โดย KT ได้ประโยชน์ไปปีละ 60 ล้านบาท รวม 30 ปี คิดเป็น 1,800 ล้านบาท เหมือนนายหน้ากินส่วนต่างเปล่าๆ โดยบริษัทนี้น่าสนใจว่า ประธานกรรมการชื่อ รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นญาติของนายอภิสิทธิ์ โดยนายอภิสิทธิ์ มีศักดิ์เป็นหลาน เนื่องจาก รศ.ประพันธ์พงศ์ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาของนายอภิสิทธิ์

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ข้อสังเกตของพรรคเพื่อไทยในเรื่องนี้คือ 1. เป็นการปิดกั้นไม่ให้บริษัทอื่นๆ มาร่วมประมูลรับช่วงการเดินรถไฟฟ้าของ BTS ที่จะหมดสัญญาในปี 2572 แต่กทม.มาจ้าง KT ทำการหลบเลี่ยงกฎหมาย ให้ BTS ได้ขยายการบริหารระบบขนส่งมวลชนไปจนถึง 2585 ขยายไปอีก 13 ปี 2.มีพิรุธว่าหากมีการประมูลรับสัมปทานเดินรถใหม่ อำนาจต่อรองของกทม.ก็จะมาก เพราะเมื่อถึงปี 2572 ระบบรถไฟฟ้าทั้งหมดจะตกเป็นของกทม. 3.การที่กทม.อ้างว่ารัฐบาลจะไปฮุบรถไฟฟ้าจากกทม.นั้นเป็นเรื่องเท็จ เพราะกทม.ยังมีสัญญาอยู่กับ BTS ถึงปี 2572 ถ้ารัฐบาลไปยึดโดนฟ้องแน่นอน 4.การให้ BTS รับช่วงการเดินรถทั้งหมดอีก 30 ปี BTS จะได้ส่วนแบ่งรายได้ 190,000 ล้านบาท ขณะที่กทม.ได้เพียง 110,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่บีทีเอสไม่ได้ลงทุนส่วนต่อขยายเลย แต่กลับได้ส่วนแบ่งมากกว่า และ 5.กทม.มีการวางแผนมาอย่างแยบยล ออกข้อบัญญัติถึง 6 ฉบับ เพื่อที่ให้งานนี้สำเร็จ โดยบริษัทกรุงเทพธนาคม ที่รับบท นายหน้ามีประธานกรรมการชื่อ รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ญาติของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

“โครงการขยายเวลาการเดินรถไฟฟ้า BTS ไปอีก 30 ปี มีพิรุธ แสดงความลุกลี้ลุกลน คล้ายเรื่องรถดับเพลิง มีการเซ็นสัญญาอย่างเร่งรีบ และเข้าข่ายผิดมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ฮั้ว ถ้า กทม.ยังเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ผมก็จะนำเรื่องความไม่ชอบมาพากลมาเปิดเผย ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะยังมีหลักฐานอีกเยอะ เพื่อฟ้องประชาชนว่าผู้ว่าฯ กทม.ภายใต้พรรคประชาธิปัตย์ บริหารงานกันแบบนี้” นายยุทธพงศ์กล่าว

...