อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เตรียมลงพื้นที่พิสูจน์ การบุกรุกที่ดินเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและป่าสงวนแห่งชาติภรรยา “ซูโม่กิ๊ก” พร้อมเร่งคดีไม่ให้ล่าช้า ขณะเดียวกันสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ 400 นาย เตรียมลุยนักการเมืองท้องถิ่น รุกอุทยานแห่งชาติภูหลวง จ.เลย และบ้าน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กว่าหมื่นไร่ปลูกยางพารา เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติ...

กรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเจ้าหน้าที่บุกยึดที่ดินจำนวน 713 ไร่ของนางกนกวรรณ กิจเจริญ ภรรยานายเกียรติ กิจเจริญ หรือ “ซูโม่กิ๊ก” พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ซึ่งบุกรุกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา - แม่แสะ และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และเป็นป่าต้นน้ำ ต่อมานายเกียรติ กิจเจริญ ได้ออกมาปฏิเสธว่าภรรยาไม่ได้ซื้อที่ดิน แต่เป็นการโอนสิทธิเพื่อจะได้เข้าไปดูแลพื้นที่ แต่ต่อมานายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้นำเอกสารการมอบสิทธิในการครอบครองที่ดินของนางกนกวรรณ ตามเอกสาร ภ.บ.ท. 5 ลงวันที่ 5 พ.ค. 2554 มาแสดงต่อผู้สื่อข่าวนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าตนและเจ้าหน้าที่ตำรวจป่าไม้ จะลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีนางกนกวรรณ ไม่ให้ล่าช้า เพราะขณะนี้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำเป็นวาระของประเทศไทยไปแล้ว และจะพาไปดูการตัดต้นไม้สำคัญๆ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา - แม่แสะ และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เพื่อปลูกกาแฟของนางกนกวรรณ ส่วนเอกสารหลักฐานที่นางกนกวรรณ อ้างว่า ไม่ใช่เอกสารในการซื้อขายนั้น ให้ไปว่ากันในชั้นศาล ตนจะไม่ตอบโต้ให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้ส่งเอกสารหลักฐานไปยังพนักงานสอบสวนแล้ว คิดว่าผู้เกี่ยวข้องทั้ง 9 คน มีความผิดหมด หากออกหมายเรียกไปแล้ว 2 ครั้ง ไม่มาชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะต้องออกหมายจับต่อไป

เมื่อถามว่านายเกียรติ หรือ “ซูโม่กิ๊ก” ระบุว่าเอกสารใบมอบสิทธิที่กรมอุทยานฯ นำมาแสดงไม่ใช่เอกสารในการซื้อขาย นายดำรงค์ กล่าวว่า ใครจะตีความอะไรได้หมด แต่สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตา เรามั่นใจว่าสามารถดำเนินคดีเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้ นายดำรงค์ กล่าวอีกว่า เอกสารที่นายเกียรติและนางกนกวรรณ ออกมาตอบโต้ นั้น คือ สค.1 กับ ภ.บ.ท.6 และ ภ.บ.ท.6 ต้องอย่าลืมว่า การครอบครอง สค. 1 และใบ ภ.บ.ท. 5 นั้น ไม่สามารถเปลี่ยนมือหรือซื้อขายสิทธิกันได้ โดยเฉพาะ สค.1 นั้น ในสมัยนายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็น รมว.ทรัพยากรฯ ทางราชการเคยมีแนวคิดให้เลิกใช้ เพราะมีการนำไปอ้างสิทธิครอบครองพื้นที่กันมาก จนกลายเป็น สค.บิน สค.บวม โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการขีดเส้นตายให้ผู้ครอบครอง สค. 1 เร่งนำมาพิสูจน์และออกเอกสารสิทธิที่ถูกต้อง ว่าครอบครองมาก่อนการประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือไม่ แต่เกิดปัญหายังมีการตกหล่นมากสมควร ระเบียบกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย จึงยังให้โอกาสผู้ที่ตกหล่นนำมาออกโฉนดไม่ทัน สามารถนำมายื่นออกเอกสารสิทธิได้ แต่ต้องมีการพิสูจน์โดยให้ศาลตัดสินเท่านั้น ที่ดินผืนดังกล่าวที่นางกนกวรรณอ้างนั้น เพิ่งมีการเปลี่ยนมือกันล่าสุดเมื่อปี 2554 ทั้งๆ ที่ทางราชการก็ได้ออกประกาศผ่านสื่ออยู่ตลอดเวลา ว่าเอกสารเหล่านี้ไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้ ที่สำคัญในการลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีนางกนกวรรณบุกรุกป่าต้นน้ำแล้ว จะมีการจับกุมผู้บุกรุกในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียงกันอีก 2 รายด้วย

อธิบดีกรมอุยานฯ ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นในสัปดาห์หน้า ตนจะลงพื้นที่อุทยานฯ แห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เนื่องจากได้เรื่องรับร้องเรียนจากราษฎรในพื้นที่ ว่ามีการบุกรุกพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง คาบเกี่ยวเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.ภูหลวง และภูเรือ จ.เลย กว่า 1 หมื่นไร่เพื่อปลูกยางพารา โดยผู้บุกรุกเป็นนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ โดยตนจะให้เจ้าหน้าที่ศูนย์อำนวยการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว เพื่อการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยกรมอุทยานฯ 200 นาย สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้อีก 200 นาย รวม 400 นาย เร่งเข้าไปสำรวจพิกัดพื้นที่ก่อน และตนพร้อมด้วยนายสุวิทย์ รัตนมณี อธิบดีกรมป่าไม้ จะลงพื้นที่เพื่อดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ดินด้วยตัวเอง

"กรณีนี้มีการร้องเรียนจากราษฎรในพื้นที่ว่า ทำไมจึงมีการปล่อยให้โค่นป่าสงวนแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์ เพื่อปลูกยางพารามากขนาดนี้ ซึ่งคนในพื้นที่ก็รู้ว่าเป็นของใคร โดยเป็นของ ส.จ. คนหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งกรมอุทยานฯ จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดีทุกราย ไม่ว่าจะเป็นของใครหรือนักการเมืองสังกัดพรรคไหน" นายดำรงค์ กล่าวและว่า เรื่องนี้เป็นการเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ของนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ และส.ส.เลย ซึ่งนายปรีชาก็รับทราบแล้ว.

...