คาใจนาน 2 สัปดาห์! ลูกสาว"ลมหายใจเหม็น"เน่า หมอในมาเลเซีย ระบุกลิ่นจากช่องปาก และแคะขี้มูกจนจมูกอักเสบ ให้ยามากินและหยอด แต่ไม่หาย แม่เอะใจให้ลูกสั่งนำ้มูกแรงๆ สุดตะลึง “กระดูกไก่ 1 ข้อ” หลุดออกมา และลมหายใจที่เหม็นหายทันที ขอแชร์ประสบการณ์ เป็นอุทาหรณ์ เตือนพ่อแม่พึงระวัง โดยเฉพาะหากมีลูกเล็กๆ ยิ่งไม่ควรมองข้าม...
พบแพทย์มาเลย์ หมดเงิน 8 บาท "ลมหายใจเหม็น" เป็นเรื่องปกติ
“ปกติลูกสาว ไม่ไช่คนซน หรือชอบเล่นสิ่งของเล็กๆ เข้ารูจมูก” วลัยลักษณ์ แซ่จ๋าว อาศัยในประเทศมาเลเซีย ผู้เป็นแม่ พูดถึงอุปนิสัยของ “เจนนิเฟอร์” ลูกสาวลูกครึ่ง จีน-มาเลเซีย-ไทย วัย 2 ปี 11 เดือน และย้อนเล่าเหตุการณ์ ลูกสาวไม่เคยมีประวัติ “ลมหายใจเหม็น”
แต่ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 62 ในช่วง 1-3 วันแรก เวลาลูกหายใจจะมีกลิ่นเหม็นนิดๆ เมื่อใช้ไฟฉายส่องดูรูจมูกก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเเพราะลูกชอบแคะจมูกที่บางครั้งแคะจนเลือดออก แต่ด้วยความสงสัยจึงให้ผู้เป็นพ่อพาลูกไปโรงพยาบาลของรัฐฯ ใกล้บ้านเพื่อให้แพทย์ตรวจ
...
หลังกลับจาก รพ. ผู้เป็นพ่อ เล่าให้ฟังว่า คนทำบัตรคิวไม่ยอมทำคิวให้ บอกว่าที่ลมหายใจเหม็น เป็นเรื่องปกติมาจากช่องปาก และแพทย์ส่องไฟฉายดูรูจมูก ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ โดยเสียค่าใช้จ่าย 1 เหรียญ หรือประมาณ 8 บาท เป็นค่ารักษาเนื่องจากลูกเกิดที่มาเลเซียทำให้เสียค่าใช้จ่ายน้อย
นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว 8 วันผ่านไป "ลมหายใจเหม็น"แรงขึ้นเรื่อยๆ
แม้ได้รับคำตอบจากแพทย์แล้ว แต่เธอยังไม่วางใจนัก คอยสังเกตอาการของลูกทุกวัน วันละหลายๆ รอบ จากวันที่ 5 ,6,7,8 กลิ่นเหม็นเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกทนไม่ไหว และคิดว่า “นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว” เพราะลูกชายอีก 2 คน ไม่มีลมหายใจเหม็น มีแต่ลูกสาวคนเดียวที่มีกลิ่นเหม็นจากรูจมูกขวา
ผู้เป็นพ่อจึงพาไปพบแพทย์ที่ รพ. เดิม ได้รับการตรวจเบื้องต้นทั่วไป จากนั้นพบอาจารย์แพทย์ๆ วินิจฉัยว่าลูกชอบแคะจมูกจนอักเสบ ให้ยามากินและหยอด พร้อมพูดให้กำลังใจเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องเครียด ถ้าไม่หายเหม็น ให้กลับมาหา เมื่อกินยาที่ให้หมดแล้ว แล้วจะทำการส่องกล้องดูว่ามีอะไรผิดปกติ โดยเสียเงินค่ารักษาทั้งหมด 8 บาท เท่าเดิม
“ได้ยามา ก็ให้ลูกกิน และหยอดจมูกตามหมอบอก แต่ลมหายใจลูกก็ยังมีกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ไม่หาย แต่ลูกสาวก็ใช้ชีวิตกิน นอน เล่น หายใจได้ตามปกติ ไม่ได้มีอาการอะไรรุนแรง แต่สังเกตเห็นว่าลูกจะชอบเอามือไปแคะจมูกบ่อยๆ แค่นั้น”
เป็นไปตามที่คิด พบต้นตอก่อความเหม็น เหตุสั่งน้ำมูก
ผ่านไป 4 วัน หลังใช้ยาตามแพทย์สั่ง "กลิ่นเหม็น"จากรูจมูกไม่หาย หนำซ้ำเหม็นเน่ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เป็นแม่นึกขึ้นได้ เคยอ่านเจอข่าวดังเมื่อปี 57 เกี่ยวกับเด็ก 4 ขวบ ยัดหนังยางเข้าจมูก (คลิกอ่านข่าว อุทาหรณ์! พ่อแม่พึงระวัง ดญ.4 ขวบยัดหนังยางในจมูกนานนับเดือน)
เกิดสงสัยว่าลูกสาวคงเป็นอาการเดียวกัน จึงให้ลูกสั่งนำ้มูกแรงๆ หลายครั้ง จนพบต้นตอทำให้ลมหายใจลูกเหม็นอยู่นานเกือบ 2 สัปดาห์ ที่แท้เป็นเพราะ “กระดูกไก่ 1 ข้อ” นั่นเอง สร้างความโล่งใจและสบายใจกับเธออย่างมาก
...
“ตอนแรกนึกว่าเป็นขี้มูกเฉยๆ พอรีบหันไปดู แม่เจ้า หัวใจจะวาย เพราะเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด กลิ่นมาจากกระดูกจริงๆ เพราะพอกระดูกหลุดออก กลิ่นก็หายเลย ต้องขอบคุณ คุณแม่ท่านนั้นมากที่มาแชร์ประสบการณ์ ไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับลูกตัวเองเลยจริงๆ แต่เกิดขึ้นแล้วเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เพื่อจะเป็นประโยชน์กับแม่ๆ ทุกคน โดยเฉพาะคนมีลูกเล็กๆ ”
ลูก ไขข้อข้องใจ “กระดูกไก่ 1 ข้อ” เข้าจมูกเพราะใคร
สำหรับสาเหตุ “กระดูกไก่เข้าไปในรูจมูกลูก” ได้อย่างไรนั้น ผู้เป็นแม่ ไขข้อสงสัยข้อซักถามนี้ว่า ตอนลูกชายอายุ 7 ขวบ กำลังกินข้าว ซึ่งวันนั้นเธอทำตุ๋นขาไก่เป็นกับข้าวให้ลูกๆ กิน ลูกชายกินขาไก่ก็วางกระดูกบนโต๊ะไว้ ลูกสาวก็มาเล่นกับลูกชายตามปกติ แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะหยิบกระดูกข้อไก่มาเล่น แล้วเผลอใส่เข้าในจมูก ตอนนั้นไม่มีใครรู้ระแคะระคายอะไร
ลูกชายไม่ได้สังเกต เนื่องจากหิวมาก หลังเลิกเรียนมาถึงบ้านก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว ส่วนลูกสาวไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวถูกดุ หลังรู้ต้นตอที่แท้จริง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย เธอจึงสอนลูกสาว ห้ามนำสิ่งของใดๆ เข้าจมูก และฝากเตือนคุณแม่ๆ คนอื่นๆ อย่านิ่งนอนใจยามลูกมีอาการผิดปกติ
...
“ฝากถึงคุณแม่ทุกท่าน ให้คอยสังเกตเวลาลูกชอบแเคะจมูก ว่ามีกลิ่นเหม็นไหม มีอะไรผิดปกติกับจมูกลูกหรือเปล่า มีของแปลกปลอมเข้าไปไหม ถ้ารู้สึกว่ากลิ่นผิดปกติ หรือถ้ากลิ่นลมหายใจเหม็นแรงขึ้นเรื่อยๆ หให้พาไปพบหมอโดยเร็ว อย่าปล่อยไว้นาน บางทีสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไช่ว่าจะไม่มีอะไรอยู่ข้างไน หากเข้าตื้นๆ อาจพอเห็น แต่ถ้าลึกๆ ไม่เห็นแน่ๆ” ผู้เป็นแม่ฝากข้อคิดทิ้งท้าย
วิธีป้องกัน แก้ไขเบื้องต้น เมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกลูก
“สิ่งแปลกปลอมในจมูก” มักเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับลูก ดังนั้น การป้องกัน และแก้ไขเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง "รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี" กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น, ผอ.ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และอดีตผอ.สถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ให้คำแนะนำกับเด็กวัย 1-3 ปี ซึ่งพัฒนาการทางด้านร่างกายสามารถจับต้องสิ่งของได้แล้ว) ดังนี้
...
1.ควรระมัดระวังในการเลี้ยงดูให้อยู่ในสายตามากที่สุด เพราะเด็กวัย 1-3 ขวบ มีความซุกชน มักหยิบสิ่งของใส่จมูกอยู่เสมอ หรือบางรายใส่หูก็มี ดังนั้นต้องเก็บสิ่งของเล็กๆ ห่างจากรัศมีมือลูก เช่น เม็ดถั่วชนิดต่างๆ ลูกปัด กระดุม เศษกระดาษทิชชู เมล็ดผลไม้ เม็ดพลาสติก
2. อาการหากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกลูกนานหลายวัน เด็กจะมีน้ำมูกเรื้อรังข้างเดียว เป็นหนองและมีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดปน ควรรีบพาพบแพทย์ หากปล่อยไว้นานจะอักเสบติดเชื้อ
3. เมื่อพบสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก พ่อแม่อย่าตื่นตกใจจนเกินเหตุ ต้องคอยปลอบให้กำลังใจเด็กด้วย หากสิ่งแปลกปลอมอยู่ลึกจนมองไม่เห็น ห้ามให้ลูกสั่งขี้มูกเด็ดขาด เพราะก่อนสั่งขี้มูกต้องสูดอากาศเข้าไป เสี่ยงทำให้ของที่ติดในจมูกเข้าลึกมากกว่าเดิม อาจเข้าถึงช่องคอ แล้วเข้าหลอดลม เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
4. ถ้าสิ่งแปลกปลอมอยู่ตื้น ให้เด็กก้มหน้า แล้วลองขยับโยกปลายจมูก หรือใช้มือปิดรูจมูกอีกข้าง แล้วให้เด็กสั่งน้ำมูกแรงๆ 2-3 ครั้ง อาจจะทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาได้เอง อย่าพยายามใช้แหนบ หรือเครื่องมือต่างๆ คีบเอาสิ่งแปลกปลอมออก เพราะจะดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในหลอดลม
ถ้าไม่ออกให้รีบพาเด็กพบแพทย์ด่วนที่สุด ก่อนจะเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือผลข้างเคียง การนำสิ่งแปลกปลอมออก ต้องทำด้วยความระมัดระวังมาก เพราะเด็กมักดิ้น จมูกเด็กจึงอาจเกิดบาดเจ็บมากขึ้นจนถึงขั้นมีเลือดออกจากจมูก หรือสิ่งแปลกปลอมหลุดลึกเข้าไปในหลอดลมได้ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
"วิธีปลอดภัยที่สุด ควรพาไปพบแพทย์หู คอ จมูก ใกล้บ้านมากที่สุดจะดีกว่าการนำสิ่งแปลกปลอมออกเอง เพราะทำผิดวิธีจะเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้นกับเด็กได้" รศ.นพ.สุริยเดวกล่าว
สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราว หรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่
reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ