ท้ายที่สุดเรื่องก็แดงออกมาประจวบเหมาะสอดคล้องกับข้อมูลที่ทางทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้นำข้อมูลออกมาเสนอเมื่อต้นอาทิตย์ที่ผ่านมา ถึงความขัดแย้งของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง นำไปสู่ปมทะเลาะแตกร้าว เพราะการจัดลำดับ "ปาร์ตี้ลิสต์" ที่มีการสอดไส้ ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง พรรคดัง "แตกคอ" วิ่งเต้นยัดเงิน แย่งลำดับปาร์ตี้ลิสต์ คนในแฉข้อมูลว่อน
กระทั่งให้หลังไม่กี่วันต่อมา เอกสารข้อมูลการลาออกจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อชาติ ได้ออกสู่สายตาประชาชนตามหน้าสื่อกระแสหลักปรากฏชื่อของ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ และนายสฤษดิ์เดช ธนาวุฒิ ได้ยื่นลาขาดจากตำแหน่ง พร้อมระบุเหตุผลไว้ว่า "ในหนังสือลาออกของ พ.ต.ท.สมชาย ได้ระบุสาเหตุว่า “เนื่องจากอุดมการณ์ แนวคิด และวิธีการบริหารพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน อีกทั้งการทำกิจกรรมต่างๆ ของพรรคมีความสุ่มเสี่ยงขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ตลอดจนไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาเสนอชื่อบุคคลเพื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรค ที่เป็นไปโดยไม่ชอบต่อกฎหมาย”
พ.ต.ท.สมชาย ไม่อยากติดคุก ต้องการให้พรรคเป็นไปในระบอบสากล
ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้ติดต่อพูดคุยกับ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ซึ่งได้เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดว่า การดำเนินงานของพรรคน่าเป็นห่วงหลายอย่าง ถือว่าไม่เป็นไปตามระบอบสากล ตนเองอยากเห็นการพัฒนาของบ้านเมือง ซึ่งต้องเป็นหลักในการบริหารประเทศ ซึ่งขณะนี้มีบุคคลหนึ่งที่เหมือนจะมีอำนาจใหญ่โตในพรรค ได้จัดการเรื่องราวเองทุกอย่าง กรรมการบริหารพรรค รับทราบถึงการกลั่นกรองพิจรณาหลายๆ เรื่อง แต่ไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจ เท่ากับว่ากรรมการบริหารพรรคทั้ง 11 คน ไม่มีความหมาย เล่นพรรคเล่นพวกกันเอง
...
เมื่อถามว่า น้อยใจหรือไม่ที่ตนเองถูกจัดลำดับปาร์ตี้ลิสต์อยู่ที่หมายเลข 47 ทั้งๆ ที่เป็นถึงรองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ อันดับ 1 ซึ่งนายสมชายตอบว่า "เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นใหญ่ เป็นลำดับที่เท่าไหร่ก็ได้ แต่การบริหารจัดการพรรค ต้องเป็นไปตามขบวนการที่ถูกต้อง และมีจริยธรรม อย่าเล่นพรรคเล่นพวก หรือเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ อีกทั้งการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในพรรคผู้เกี่ยวข้อสมควรได้ใช้สิทธิ์ร่วมกันอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้เรื่องเอกสารที่ยื่นกันอาจจะไม่เป็นไปตามระเบียบ หากมีการตรวจสอบขึ้นมาตนเองอาจติดคุกได้ การลาออกจึงน่าจะดีที่สุด"

แหล่งข่าวนำข้อมูลขัดแย้งแฉออกสื่อ
แหล่งข่าวปูดข้อมูลลึก ระบุว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการไปหาเสียง แกนนำพรรคบางราย ไปเรียกรับเงินจากคนที่มีเงินในภาคอีสาน เพื่อจัดลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อให้บางคนต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้ลงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ เลขตัวเดียว อยู่ที่ 10-15 ล้านบาท และวันนี้ยังจ่ายเงินกันไม่ครบ รวมแล้วมีเงินสะพัดในการจัดอันดับของพรรคเพื่อชาติหลายสิบล้านบาทภายในแกนนำบางกลุ่ม
"จากนั้นก็มีการมาเปลี่ยนตัวคนที่อยู่ในลำดับบัญชี โดยไม่ผ่านคณะกรรมการบริหารพรรค เมื่อมีการจัดตัวเช่นนี้แล้วก็ได้มีการเคลียร์กัน ว่าต้องนำเงินมาลงกองกลาง แต่แกนนำที่ได้เงินไปแล้วกลับไม่ยอม จึงเป็นที่มาของการร้องเรียนเรื่องการจัดลำดับบัญชีรายชื่อว่าไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารพรรค และการยื่นบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ไม่ผ่านกระบวนการตามที่ กกต.กำหนด"
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า ตามหลักการแล้ว ผู้ที่มีความประสงค์จะลงสมัคร ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้ง หรือระบบปาร์ตี้ลิสต์ ก็จะมีการให้ยื่นแสดงความจำนงตามแบบฟอร์มของพรรคต่อตัวแทนของพรรคหรือสาขาของพรรค หลังจากนั้นให้ตัวแทนของพรรคประจำจังหวัดหรือสาขาของพรรคส่งรายชื่อให้กับคณะกรรมการสรรหา จากนั้นคณะกรรมการสรรหาจะทำการสรรหาโดยฟังความเห็นจากสาขาหรือตัวแทนจังหวัด ประกอบแล้วส่งให้คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณา
"แต่ในกระบวนการแบบนี้ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการสรรหาและไม่ได้เข้าคณะกรรมการผู้บริหารพรรค แต่มีการจัดทำบัญชีรายชื่อกันเอง ของแกนนำบางกลุ่ม แล้วมาให้หัวหน้าพรรคเซ็น จากนั้นหัวหน้าก็นำไปยื่นต่อ กกต. จึงทำให้ผู้สมัครบางคนที่ควรอยู่ในอันดับที่เหมาะสมเกิดความไม่พอใจ ทำให้เป็นที่มาของการลาออกของ พ.ต.ท.สมชาย และนายสฤษดิ์เดช"
แหล่งข่าวกล่าวว่า จากประเด็นที่ พ.ต.ท.สมชาย ร้องต่อ กกต. จะทำให้บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อชาติตกไปทั้งหมด เพราะไม่เป็นไปตามรูปแบบที่ กกต.กำหนดเอาไว้ นี่คือนัยที่ พ.ต.ท.สมชาย ระบุเอาไว้ในการยื่นประกอบคำร้องของตนเองว่าการกระทำของพรรคมีความสุ่มเสี่ยงขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 อย่างไรก็ดีคาดว่า กกต.จะดำเนินการตรวจสอบกรณีนี้อย่างแน่นอน
เสียงส่วนใหญ่ เอือมระอา ผู้มีอิทธิพลในพรรค
ขณะที่สมาชิกพรรครายหนึ่งให้ข้อมูลว่า ขณะนี้หลายคนรู้สึกไม่พอใจในการกระทำของบุคคลหนึ่งในพรรค ซึ่งกลายเป็นเหมือนต้นเหตุสร้างความแตกแยก เพราะเลือกหนุนเฉพาะคนที่ตนเองมีความสนิทสนมส่วนตัวให้ได้ขึ้นสู้ลำดับที่ดีๆ สถานการณ์ในพรรคจึงระส่ำระสาย การออกเดินหาเสียงไม่มีความสามัคคี ต่างคนต่างแยกกันเดิน อีกทั้งการจัดลำดับปาร์ตี้ลิสต์รอบนี้ส่อขัดกฎหมาย "แกนนำ" เรียกรับเงินเข้ากระเป๋าแลกจัดคนลง ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ไม่ผ่านการประชุม “กก.บห.” อาจเป็นไปได้ที่จะโมฆะทั้งหมด.
