ดีเจเคนโด้ เผยภาพและเรื่องราวอุบัติเหตุ จยย.ชนนักเรียนหญิงข้ามทางม้าลายเข้าเต็มแรง เด็กสมองตายรอคอยปาฏิหาริย์ ให้ฟื้นคืน ขณะที่คู่กรณียังนิ่งเฉย ตอกย้ำสังคมเราจะทำอย่างไรกับเคสนี้

เฟซบุ๊ก Kendo Photjanasuntorn หรือ ดีเจเคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร ได้โพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมข้อความระบุว่า นักเรียนหญิงคนหนึ่งกำลังจะกลับบ้าน รอข้ามถนนตรงทางม้าลาย หน้าโรงเรียนนาฏศิลป์ ศาลายา เพื่อจะขึ้นรถกลับบ้านกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนๆ น้องบอกว่า กดปุ่มสัญญาณไฟข้ามแล้ว ในคลิปก็จะเห็นว่าไฟแดงแล้ว แล้วน้องก็หันมองแล้ว มีรถเก๋งจอดให้ข้ามแล้ว น้องวิ่งออกไปคนแรก

(คลิกดูคลิป ที่นี่)

ทั้งนี้ พอจังหวะวิ่งเลยรถเก๋งไป รถจักรยานยนต์ พุ่งตรงมาชนน้องอย่างแรง และคร่อมร่างน้องอยู่ระหว่างล้อหน้า และล้อหลังลากไปไกลประมาณ 9 บาลิเออร์ คนที่อยู่ในเหตุการณ์บอกมอเตอร์ไซค์ไม่ล้มเลย คนชนยังล้มมาตั้งขาตั้งรถได้ แต่น้องสลบไม่ได้สติ เจ้าหน้าที่ได้รีบส่งไปโรงพยาบาลแรก แต่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่พร้อม จึงส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า ซึ่งห่างกัน 10 กว่ากิโล

อย่างไรก็ตาม เราก็ได้บอกเจ้าหน้าที่ว่าทำไมไม่ส่งที่ใกล้กว่านี้ หรือโรงพยาบาลในกรุงเทพฯที่ใกล้กว่าโรงพยาบาลในนครปฐม เพราะกลัวจะไม่ทันการณ์ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้ มันต้องทำตามกฎ และโรงพยาบาลที่ดิวกันไว้เท่านั้น เพราะถ้าต่างโรงพยาบาลจะได้รับการรักษาช้า เราก็ต้องยอมให้น้องไปที่โรงพยาบาลดังกล่าว

...

โดยหมอซีทีสแกนแล้วแจ้งว่าน้องมีภาวะสมองบวมทั้ง 2 ข้าง มีเลือดออกในสมอง แต่ไม่มากพอที่จะผ่าตัดได้ สามารถให้ได้แค่ยาลดบวม และสลายเลือด เลือดออกหู บาดแผลที่ถูกลากไปทั่วทั้งร่างกาย แต่น้องแข็งแรงมากฟื้นภายในวันนั้นที่เกิดอุบัติเหตุเลย เราก็ดีใจที่เขามีสติขึ้นมา ก็ซีทีสแกนอีกรอบในวันถัดมา ผลออกมาคือสมองที่บวมหดลงมาแต่ยังไม่มาก และเลือดที่ออกก็ลดลง การตอบสนองต่อยาได้ผล แต่อาการปวดหัวรุนแรงยังมีอยู่ไม่หาย

"น้องเริ่มพูดได้ ขยับตัวได้ ลุกนั่งได้ กินได้ ดีขึ้นตามลำดับ จนเราก็เบาใจว่าน้องดีขึ้นแล้ว หมอแจ้งว่า อาทิตย์หน้าน่าจะกลับบ้านได้แล้ว พอเข้าวันที่ 6 มีอาการซึมลง ไม่ยอมทำอะไรเลย นอนอย่างเดียว ตาลอย หมอก็บอกว่าน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ให้ไป จะลดปริมาณยาลง แต่จนดึกอาการก็ยิ่งแย่ลง ต้องสอดท่อให้อาหารทางสายยาง เพราะเขาไม่ยอมกินยาเลย พอเช้าวันที่ 7 ประมาณตี 4 แม่เค้าเช็ดตัว แล้วเห็นว่ามีอาการเกร็ง กำมือ ตาลอย เลยเรียกพยาบาลเข้ามาดู ส่องดูม่านตา ยังมีการตอบสนองแต่ช้ามาก เห็นท่าไม่ดีจึงได้ตามหมอ พาลงไปไอซียู แต่ยิ่งแย่ลงหนักกว่าเดิม ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย หมอทำการซีทีสแกน พอว่าสมองบวมเฉียบพลัน จนไปกดทับเส้นเลือดที่เลี้ยงสมอง"

ทั้งนี้ ลองฉีดสีเข้าไป พบว่า มันตันทุกเส้น หยุดอยู่ที่ต้นคอเท่านั้น จึงทำการเปิดกะโหลก เพื่อลดความดันในสมอง และไม่ไปกดเส้นเลือดให้เลือดเข้าไปเลี้ยงสมองได้ แต่น่าจะช้าไป อาการเริ่มตอนตี 4 ได้ผ่าตอนประมาณ 11 โมง เพราะตอนนี้อาการน้องที่หมอบอก คือ สมองตาย มันเกิดจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงในสมองชั้นในสุด รอปาฏิหาริย์ให้เขาฟื้นขึ้นมาอย่างเดียว เราก็อดทนรอ ไม่หมดหวัง ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด

ตอนแรกเราคิดจะย้ายโรงพยาบาล แต่เราเห็นว่าน้องดีขึ้นคงไม่เป็นไร และเราก็ห่วงจะเกิดอันตรายระหว่างทางไหม แต่นั่นคือเราคิดผิด ยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาด ถ้าในช่วงที่เขาดีขึ้น ย้ายเค้าไปทำ MRI รักษาที่อื่น ก็น่าจะช่วยเหลือหรือรักษาได้ดีขึ้นกว่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าหมอไม่เก่งนะคะ แต่ขาดศักยภาพในบางเรื่อง มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้โรงพยาบาลรัฐทุกที่มีเครื่อง MRI ถึงมันจะแพง แต่ถ้ามันสามารถช่วยชีวิตคนมันก็คุ้มค่า และทุกคนยอมที่จะเสียเงินเพื่อต่อชีวิต

ส่วนในเรื่องของคู่กรณี คนขับ อายุ 21 ปี วันเกิดเหตุเจ็บเพียงหน้าอก และข้อเท้า แม่คนขับ ได้เข้ามาดูน้อง วันผ่านๆ วันที่ 26 ม.ค. ทางครอบครัวคนขับได้เข้ามาดู ยื่นกระเช้าวีต้าพรุนให้ แล้วพูดขอโทษ แหะๆ ไม่ได้ตั้งใจแหะๆ คือ ดูแล้วเหมือนไม่ค่อยจะสำนึกผิดสักเท่าไหร่ ถามอาการน้อง ก็เป็นอย่างที่เห็น คือ นอนอย่างเดียว

ทางนั้น ก็เริ่มต้นด้วยการถามหาประกันของน้องจากเรา น้องไม่ได้ทำประกันอะไร เขาจะให้เราใช้ประกันกลุ่มของโรงเรียน ซึ่งมันควรที่จะให้เขาใช้ไหม เพราะมันเป็นของน้อง แล้วเขาถามแม่น้องว่า ไปทำเดินเรื่อง 30 บาทยัง คือ ทางเราคิดว่า พวกคุณจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยใช่ไหม คุณทำลายอนาคตเด็กที่กำลังจะไปได้ดี คุณทำให้ครอบครัวเขาสิ้นหวัง หมดกำลังใจ คุณไม่เคยคิดที่จะยื่นมือช่วยเหลือค่าใช้จ่ายอะไรเลย แม้แต่ถามไถ่ว่าแม่น้องเป็นยังไงบ้าง ทำงานอะไร หยุดงานแล้วจะเป็นอะไรไหม

ทั้งนี้ ได้แต่พูดแต่ของตัวเองว่า ลูกเขาก็เจ็บ ไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปทำงาน ทั้งๆ ที่แม่น้องเป็น ซิงเกิลมัม ดูแลลูกทุกอย่างอย่างดีมาตลอด 15 ปี ไม่เคยปล่อยให้ลูกเป็นอะไร ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เป็นอะไรก็เข้าหาแต่โรงพยาบาลเอกชน ไม่ก็โรงพยาบาลรามาเท่านั้น ดูๆ แล้ว เหมือนทางคู่กรณีจะขาดสามัญสำนึกและความรับผิดชอบ

"เรื่องนี้อยากจะฝากเป็นอุทาหรณ์เตือนลูกหลานท่านเรื่องการ ฝากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ช่วยกันพิจารณา สร้างสะพานลอยให้เด็กได้ใช้ข้ามถนนเถอะ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีอุบัติเหตุบ่อย แต่ของน้องคือร้ายแรงสุด อยากให้เคสนี้เป็นเคสสุดท้ายที่เกิด ถึงคุณจะติดสัญญาณไฟข้าม แต่จิตสำนึกของคน และสันดานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน"

(คลิกต้นฉบับ ที่นี่)

(ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก ดีเจเคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร)