อดีต กกต. "สดศรี" ฟันธง พลังประชารัฐ เสี่ยงตายน้ำตื้น! หากปรากฏหลักฐานชัด หน่วยงานรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ซื้อโต๊ะจีน งานระดมทุน ชี้ โทษหนัก จำคุก 10 ปี ปรับ 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ กรรมการบริหารที่แย่กว่าพรรคล่ม
วันที่ 21 ธ.ค. นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ กรณี หากมีหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ มีการซื้อโต๊ะระดมทุนพรรคการเมือง ในที่นี้หมายถึงพรรคพลังประชารัฐที่มีการจัดงานระดมทุน 650 ล้านบาท มีความผิดตามกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ว่า การระดมทุนของพรรคการเมือง ตามกฎหมายแล้วหากบริจาคเกิน 1 แสนบาทขึ้นไป ต้องมีการแจ้งชื่อผู้สนับสนุนต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 30 วัน
ทั้งนี้การจัดระดมทุนขณะที่หากมีหลักฐานชัดเจนว่า ปรากฏชื่อหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจซื้อโต๊ะจีนระดมทุนให้พรรคพลังประชารัฐจริง มีโทษหนักตามกฎหมาย หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปถึงขั้นอาจถูกศาลสั่งตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพรรคการเมืองดังกล่าวจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะมันเลยเวลาสังกัดพรรคการเมืองแล้ว ทำให้พรรคการเมืองดังกล่าวส่งผู้สมัครลง ส.ส.ไม่ได้ เพราะกฎหมายระบุว่าต้องให้หัวหน้าพรรคการเมืองช่วงเวลาจะไม่ทัน
...
อย่างไรก็ตาม ต้องแยกจากการบริจาคให้พรรคการเมืองเพราะตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดให้บุคคลและนิติบุคคล บริษัทเอกชน สามารถบริจาคให้พรรคการเมืองได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท และหากอยู่ในตลาดหุ้นต้องจัดให้มีการประชุมให้ผู้ถือหุ้นรับทราบ หากบริษัทนั้นจะบริจาคให้พรรคการเมือง 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งต่างจากการระดมทุน ที่ไม่มีการกำหนดตัวเงินว่าห้ามระดมทุนเกินจำนวนเงินเท่าใด นั่นคือ พรรคการเมืองนั้นๆ สามารถระดมทุนยอดเงินแบบไม่จำกัด
นางสดศรี กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ตั้งข้อสงสัยว่าพรรคพลังประชารัฐมีสิทธิ์จัดระดมทุนในช่วงก่อนมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมาประกาศใช้ก่อนหรือไม่นั้น ยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐสามารถจัดระดมทุนพรรคการเมืองได้ เพราะกฎหมายระบุว่า ห้ามจัดระดมทุนในช่วงมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้น จึงสามารถจัดระดมทุนก่อนหรือหลังการเลือกตั้งได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแนะว่า ความจริงพรรคการเมืองน่าจะจัดระดมทุนหลังการเลือกตั้ง และรู้ว่าพรรคตัวเองได้เป็นรัฐบาลใหม่แล้วน่าจะเป็นการดีกว่า.