กรมอุทยานฯ เผย ทีมวิจัยพบอันตรายจากครีมกันแดด มีสารเคมีบางอย่างทำลายปะการัง ทำให้ไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ ชี้ที่ต้องปิดอ่าว เพราะปะการัง “อ่าวมาหยา” ตายสูงถึง 51%...
กรณีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศปิดอ่าวมาหยา บนเกาะพีพี จ.กระบี่ ออกไปโดยไม่มีกำหนด เนื่องจากสภาพธรรมชาติในพื้นที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่บางส่วน ออกมาแสดงความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนกลับเห็นด้วยให้มีการปิด เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2561 นายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานฯ พร้อมด้วย ดร.ทรงธรรม สุขสว่าง ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ผศ.ดร.ดรรชนี เอมพันธุ์ นักวิชาการจาก คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ นายวรพจน์ ล้อมลิ้ม หน.อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี นำคณะสื่อมวลชนกว่า 60 ชีวิต ลงพื้นที่สำรวจสภาพความเสียหายของอ่าวมาหยา ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ โดยสภาพแนวปะการังภายในอ่าวมาหยา มีสภาพเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง โดยมีบางส่วนที่ทางกรมอุทยานฯ ส่งคณะทำงานลงพื้นที่เพาะปลูกปะการัง และฟื้นฟูโดยใช้กระบวนการ Coral Popagation Course ซึ่งพบว่าหลังจากปิดให้ฟื้นฟูมานาน 4 เดือน ปะการังที่ได้รับการเพาะบางส่วนเริ่มเติบโตขึ้นมาบ้างแล้ว รวมทั้งยังพบลูกปลาฉลามหูดำ และสัตว์ทะเลขนาดเล็ก เข้ามาแหวกว่ายหากินอยู่ในบริเวณอ่าว หลังไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์ตลอด 4 เดือน
...
รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวต่อว่า การที่กรมอุทยานฯ ต้องประกาศห้ามเข้าอ่าวมาหยา ก็เพราะต้องการให้ธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเลได้มีเวลาฟื้นตัว เพราะที่ผ่านมาสภาพปะการังในพื้นที่ ถูกทำลายไปมากกว่า 51% เป็นสภาพปะการังตาย แต่ก็เข้าใจในส่วนของการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวต้องการเข้ามาเที่ยวอ่าวมาหยา ซึ่งการสั่งปิดอ่าวชั่วคราวนี้ ไม่ได้ปิดพื้นที่ทั้งหมด 100% ยังให้เรือนำนักท่องเที่ยวเข้ามาลอยลำชมความงามของอ่าวได้ โดยให้เรือจอดอยู่ในแนวทุ่นที่ทางอุทยานฯ กำหนดไว้ ห่างจากชายฝั่งประมาณ 250-300 เมตร แต่เราห้ามเพียงไม่ให้เหยียบขึ้นบนฝั่ง และห้ามเรือเข้ามาในโซนที่กำลังฟื้นฟูปะการังเท่านั้น
นายจงคล้าย กล่าวอีกว่า นักท่องเที่ยวก็สามารถเก็บภาพความงามของอ่าวมาหยาได้ โดยตนมองว่านักท่องเที่ยวจะได้ภาพธรรมชาติที่สวยงามกว่า ภาพนักท่องเที่ยวยืนแออัดกันเต็มหาด เพราะพื้นที่หาดในอ่าวมาหยามีพื้นที่เพียง 18 ไร่ ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้ามาปีละ 1 ล้านคน จึงทำให้เกิดภาพยืนกันแออัดบนชายหาด ส่วนจะเปิดอ่าวได้อีกครั้งเมื่อไหร่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะทำงาน และนักวิชาการที่เราส่งมาประเมินอีกครั้ง ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะปิดนานแค่ไหน
ด้าน ดร.ทรงธรรม กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาจากการวิจัยของทีมคณะทำงาน พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้สภาพปะการังในพื้นที่อ่าวมาหยาต้องตาย และเสียหาย สาเหตุหลักเกิดจากสารเคมีบางตัวในครีมกันแดด ที่นักท่องเที่ยวใช้กัน ซึ่งสารเคมีเหล่านี้ส่งผลต่อการแพร่พันธุ์ของปะการัง และทำให้ปะการังตายหรือพิการได้ รวมทั้งเป็นต้นเหตุให้เกิดปะการังฟอกขาว นอกจากนี้ใบพัดเรือที่เข้ามาในอ่าว จะไปกวนตะกอนทรายขึ้นมาปกคลุมปะการัง ซึ่งตะกอนเหล่านี้จะทับถมบนก้อนปะการัง ทำให้ตายได้ และยังพบซากแตกหักของปะการังที่เกิดจากการทิ้งสมอเรือจำนวนมาก นอกจากปัญหาสภาพธรรมชาติที่พังแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องห้องสุขา ที่ผ่านมามีไม่เพียงพอจะรองรับนักท่องเที่ยวปริมาณมาก ทำให้เกิดน้ำเสียวันละหลายพันลิตร ซึ่งต้องใช้เวลาในการวางระบบบริหารจัดการเรื่องนี้ด้วย โดยต่อไปทางอุทยานฯ จะให้นักท่องเที่ยวเข้าอ่าวมาหยาทางอ่าวโล๊ะซามะ ซึ่งอยู่ด้านหลังแทน
ขณะที่ ผศ.ดร.ดรรชนี ระบุว่า หากเปรียบอ่าวมาหยา เป็นคนไข้ในตอนนี้ ก็คือผู้ป่วยหนักที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดรักษา จึงจำเป็นต้องให้เวลาในการฟื้นตัว ไม่อยากให้เกิดการกดดันจากภาคท่องเที่ยว เพราะหากฝืนเปิดไป จะทำให้สภาพธรรมชาติพังพินาศในช่วงอายุของพวกเรา จนไม่สามารถจะฟื้นฟูกลับมาได้อีก.
...