สร้างความแปลกใจให้กับแฟนๆ ไม่น้อย เมื่อนักร้องนักแสดงหนุ่ม ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ตัดสินใจลงเล่นการเมืองครั้งแรกด้วยการลงสมัครสมาชิกพรรคพลังท้องถิ่นไท เพื่อเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 ที่จะถึงนี้
โดยใช้เวลาในการตัดสินใจสมัครอยู่นาน 1 ปี และตั้งใจสมัครเองโดยไม่ได้มีใครทาบทาม นักข่าวเลยถามฟิล์มถึงเหตุผลที่ตัดสินใจสมัครสมาชิกพรรคพลังท้องถิ่นไท ซึ่งได้เปิดรับสมัครเมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 ต.ค. 2561 ที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม ชั้น 14 โรงแรมเซนต์ รีจิส ราชดำริ
ถามถึงการมาลงสมัครพรรคการเมืองในครั้งนี้?
"จริงๆ แล้วเกิดจากการศึกษาที่นานมาก เพราะผมเชื่อว่าการเมืองหรือการบริหารประเทศอยู่คู่กับคนไทยเราทุกคนอยู่แล้ว ยิ่งโตมาเราได้ทำธุรกิจ บางทีเราจะมีความรู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมถึงมีนโยบายเป็นแนวนี้ ที่บางทีมันไม่เอื้ออำนวยความสะดวก
อย่างกลุ่ม Start Up หรือกลุ่มคนที่เขาต้องการมุมมองใหม่ๆ ของการบริหารในธุรกิจตัวเอง หรือว่าบางทีทางภาครัฐบริหารประเทศ ทำไมถึงบริหารในมุมมองแบบนี้ ซึ่งบางทีมันไม่ตอบโจทย์ในเรื่องต่างๆ
ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนเป็นแบบนี้ เวลาโตมาก็อยากทีสิทธิ์เรียกร้อง มีสิทธิ์ที่จะเสนอ แต่ไม่เคยได้รับเลยครับ มาวันนี้ผมมองว่ามีหลายพรรคมากที่เปิดโอกาสให้แก่คนรุ่นใหม่ที่เข้าไปแสดงความคิดเห็น เข้าไปแสดงนโยบายที่จะบริหารประเทศ
...
ก็เลยเป็นก้าวๆ นึงในจุดเริ่มต้นว่าเออ ผมอยากเข้ามาเหมือนกันนะ เพราะเป็นอย่างเดียวที่ไม่เคยทำ และมันเป็นสิ่งเดียวเลยที่เราสามารถเอาความรู้ความสามารถของเรามาบริหารประเทศได้ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น เป็นความตั้งใจของผมเองครับ"
กลัวกระแสด้านลบมั้ย?
"ต้องบอกตามตรงว่าหลายๆ คนอาจจะมองแบบนั้นว่าการเมืองเป็นสิ่งที่น่ากลัว จะมีแต่ด้านลบ โดนคนด่าว่า แต่ผมมองว่ามันอยู่ที่คนครับ จริงๆ แล้วถ้าเกิดว่าเราคิดที่จะทำดีเพื่อประเทศชาติจริงๆ ไม่มีใครมาด่าเราได้หรอก
มันก็เลยต้องมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเป็นแบบอย่างให้กับคนไทยทั้งประเทศได้เห็นว่าการมาลงการเมืองหรือการบริหารประเทศมันไม่ใช่เรื่องของคนใดคนนึง พรรคก็ไม่ใช่ของใครคนใดคนนึง แต่วันนี้การบริหารประเทศหรือพรรคเนี่ย มันคือพรรคของคนไทยทั้งประเทศครับ
เหตุผลที่ผมเลือกพรรคพลังท้องถิ่นไท นี่คือเหตุผลแรกเลยว่าเขาไม่มีหัวหน้าพรรค ไม่มีเลยว่าเป็นพรรคของใคร เขาคือพลังท้องถิ่นไทที่เป็นพรรคของคนไทยทั้งประเทศ นั่นเลยทำให้ผมก้าวเข้ามาที่พรรคนี้
ผมมองว่าวันนี้มันต้องช่วยกันครับ มันคือวิกฤติถึงขั้นสุดแล้ว ถ้าเราไม่ออกมาช่วยกัน ประเทศชาติไม่มีทางเจริญ และไม่มีทางหลุดพ้นจากกฎเดิมๆ ที่มันผูกไว้ คือตั้งแต่เกิดมารู้เลยว่าพรรคของคนนี้ ประเทศของคนนี้ พรรคพวกของคนนั้น เบื่อมากในการทำอะไรต่างๆ มันติดขัดไปหมด
ผมโดนกับตัวเอง ผมเลยมาเต็มเหนี่ยวเลย เพราะว่าธุรกิจของผมเวลาคิดอะไรแปลกใหม่ แหวกแนว ก็เหมือนไปขัดผลประโยชน์ของชาวบ้้าน ทำไมต้องเป็นแบบนั้น ทำไมไม่เหมือนเมืองนอกที่เขามีอิสระทางด้านความคิด และเอาความคิดมาช่วยเหลือประชาชนจริงๆ
ตลอดชีวิตของผมตั้งแต่อายุ 15 ตั้งแต่ผมเข้าวงการบันเทิงมา จนวันนี้อายุ 34 ปีแล้วเนี่ย ผมเจอแต่สิ่งที่มันทำให้หดหู่ น้อยใจว่าทำไมประเทศถึงเป็นแบบนี้ สวัสดิการคนแก่ สวัสดิการข้าราชการ กลุ่มคนตามต่างจังหวัดท้องถิ่นต่างๆ ในประเทศชาติของเรา
เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตถนนไม่ดี ความไม่เท่าเทียมในสังคม คนนี้รวยมาก คนนี้จนติดดิน คนนี้ไม่มีทางเลือก คนนี้ฆ่าตัวตาย โห...มันเบื่อ คือลงพื้นที่ตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้ไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงเลย ก็เลยมองว่าเอาล่ะ ปีนี้เขาเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่แสดงความคิดเห็น หลายๆ พรรคมีคนที่มีความสามารถเก่งๆ กันเต็มไปหมดเลย
...
เราก็มองว่าเราน่าจะเป็นส่วนนึงของสังคมนะ ที่จะทำให้สังคมและประเทศเราเจริญขึ้น มันคือความสนุกและอยากที่จะมาบริหารประเทศ เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติเรามีความเปลี่ยนแปลงและความเจริญครับ"
แล้วงานด้านบันเทิงของฟิล์มล่ะ?
"จริงๆ ผมมองว่าไม่ได้กระทบนะครับ เพราะว่างานวงการบันเทิงเรายังทำได้อยู่ อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่ได้ต้องการมาเป็นอะไรนะครับ ผมแค่ต้องการมาเป็นเสียงเล็กๆ เสียงนึงที่ทำให้ประเทศชาติเรามีความเปลี่ยนแปลงและความเจริญที่เข้าไปถึงทุกที่จริงๆ เรามีความตั้งใจแค่นี้ครับ"
หลายคนสงสัยว่างานในวงการหดรึเปล่า?
"จริงๆ งานมันก็เยอะเหมือนเดิมนะครับ แต่แค่ว่าช่วงนี้ผมถูกบีบบังคับให้มาอยู่ในบ้านตัวเองครับ เหมือนให้มาแสดงในช่องทางของตัวเอง คนก็เลยไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ครับ แต่จริงๆ ไม่ได้งานน้อยลงเลยครับ
การที่มาโชว์ความสามารถอีกด้านนึงในการบริหาร มันเหมือนการที่เราบริหารธุรกิจครับ อันนี้คือมาช่วยกันเป็นส่วนๆ นึง ช่วยกันบริหารให้ประเทศดีขึ้น ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก ผลงานในวงการยังได้เห็นอยู่ครับ"
...
หลักๆ คือแค่ต้องการมาแสดงความคิดเห็นทั่วไปตามที่เราถนัด?
" ใช่ครับ ส่วนใหญ่เอาความรู้ความสามารถที่ตัวเองมีมาแสดงความคิดเห็น มาช่วยเสนอนโยบาย และเดี๋ยวไปวัดกันในตอนที่จะลงเวทีดีกว่านโยบายใครผ่านครับ"
เราตั้งใจมาลงเล่นเองเลยรึเปล่า?
"จริงๆ ก็ลงเองนะ ในการที่มาลงสมัครก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะลงเองครับ ส่วนในอนาคตจะลงเล่นเต็มๆ มั้ย อันนั้นก็ต้องดูอนาคตว่ายังไง แต่ผมก็ทำเต็มที่ครับในทุกงานที่ทำ งานในวงการตอนนี้ยังทำได้อยู่ครับ"
มีการเตรียมตัวยังไงบ้างเพราะต้องทำงานทั้ง 2 ด้าน?
"คือ ณ ตอนนี้ในอนาคตปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตนะครับ เพราะ ณ ตอนนี้ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงความคิดเห็น เราก็อยากทำตัวเป็นแบบอย่าง เลยเอาตัวเองอาสาที่จะช่วยกันบริหารประเทศครับ"
เตรียมรับมือกับกระแสด้านลบตามมายังไง?
"จริงๆ ผมมองว่าถ้าเกิดทุกคนมารู้ความตั้งใจ รู้ว่าตอนนี้รัฐบาลมาประกาศให้คนรุ่นใหม่ออกมา หลายๆ พรรคก็มีเต็มไปหมดเลยที่เป็นคนรุ่นเดียวกับผม หรืออาจจะเด็กกว่าผมด้วยซ้ำที่ออกมาแสดงความสามารถกัน ผมมองว่าคนก็จะไม่ออกมาพูดในกระแสลบ
...
วันนี้คนไทยทุกคนถ้าเรายังมองแต่ด้านลบอยู่ มันก็จะไม่เกิดแรงสนับสนุน พอมันไม่เกิดแรงสนับสนุน คนรุ่นใหม่ก็จะกลัว กลัวก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นประชาชนคนไทยช่วยกันบอกให้คนที่มีความสามารถความรู้ในด้านที่เขาถนัด
อย่างผมถนัดไอที โซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือมาร์เก็ตติ้งต่างๆ เอาออกมาช่วยกัน ออกมาแสดงความสามารถ มาวัดกันที่นโยบาย และประชาชนคนไทยเขาเป็นผู้ตัดสินเองว่าใครเป็นคนที่เขาจะเลือกมาช่วยบริหารประเทศ จริงๆ แล้วไม่ควรออกมาด่ากัน"
คนอาจจะมองว่าเราใช้ฐานของดารามาสนับสนุนตรงนี้?
"จริงๆ ผมมองว่ามันแค่ส่วนๆ หนึ่งครับ การที่จะเข้ามาบริหารประเทศหรือมาเป็นส่วนหนึ่ง ผมมองว่าประชาชนคนไทยเขามีความคิดครับ เขาไม่เลือกเพราะความเป็นดาราหรือนักร้อง เขาเลือกที่ความสามารถและนโยบายคุณทำได้จริงมั้ย
เดี๋ยวนี้คนไทยฉลาด เราดูโลกกว้างขึ้น เราวิเคราะห์ได้ เราคิดได้ว่าใครเหมาะกับอะไร วันนี้คำว่าอาสาของผมเนี่ย ผมอยากเป็นส่วนๆ หนึ่ง อาจเป็นส่วนเล็กส่วนนึงก็ได้ที่มาเป็นเสียงแทนประชาชนคนไทยทั้งประเทศว่าเราควรจะเปลี่ยนอะไรบางอย่างให้มันดีขึ้นครับ"
ตอนนี้ที่เรียนต่อปริญญาเอก เราเรียนด้านนี้โดยตรงใช่มั้ย?
"ใช่ครับ ตั้งแต่ปริญญาโทก็เรียนด้านบริหารโดยตรง จริงๆ ผมก็ทำธุรกิจมาเยอะนะครับ ก็เอาความรู้ด้านที่เรามีมาช่วยกันในมุมมองต่างๆ สนับสนุนพรรคเต็มที่เพื่อให้นโยบายต่างๆ ประสบความสำเร็จ"
แฟนคลับเรามีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย?
"ก็มีครับ แต่หลายๆ คนตอนนี้ก็ยินดีเพราะว่ามันไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว วันนี้ไม่ใช่ผมคนแรก มีคุณปลื้ม มีเต็มไปหมดเลยที่เป็นคนรุ่นใหม่ออกมาช่วยประเทศกัน
วันนี้ก็เลยบอกว่าคำว่าอาสาของผมเนี่ยทุกคนจะรู้ถึงจิตใจของผมทันทีเลยว่ารู้อยู่แล้วว่าบางทีจะมีบางกระแสลบมั้ย ว่ามั้ย หรืออะไรมั้ย แต่เรากล้าที่จะออกมาและเป็นแบบอย่าง คนจะรู้ถึงจิตใจและรู้ถึงว่ามันเกิดวิกฤติละ มันต้องออกมาช่วยกันแบบนี้ครับ ถามว่ามีกระแสต่อต้านเยอะมั้ย ไม่มีเลยครับตอนนี้ ในกลุ่มแฟนคลับของฟิล์มนะครับ".