เป็นประโยคที่คุณแม่ลูกอ่อนหลายคน เคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ทำให้เกิดความกังวลใจและความกลัวต่างๆ นานา บางครั้งคุณแม่อาจถูกตำหนิด้วยซ้ำไป ว่าทำไมไม่ยอมดัดขาเด็กตั้งแต่แรกเกิด ทำไมปล่อยเอาไว้ไม่กลัวลูกขาโก่งตอนโตหรอ โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ ต่างมีหลากหลายคำแนะนำด้วยความเป็นห่วง
นพ.วีระศักดิ์ ธรรมคุณานนท์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์และออร์โธปิดิกส์ในเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า เด็กขาโก่งในช่วงวัยหัดเดิน เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ทำให้คุณพ่อคุณแม่ รวมถึงญาติๆ หลายครอบครัว พาลูกมาปรึกษาแพทย์พร้อมกับคำถามมากมาย เช่น “คุณหมอคะ ดิฉันสังเกตว่า ลูกเดินขาโก่งมากกว่าลูกของเพื่อนค่ะ ทำไมขาลูกดิฉันถึงไม่เหมือนของดิฉันเลยคะ ตั้งแต่เขาหัดเดินมาได้หลายเดือนมีแต่คนทัก ก็เลยไม่แน่ใจ คุณยายสอนให้ดัดขาหลังจากอาบน้ำเสร็จ ดิฉันก็ลองทำแล้ว พอดัดเสร็จปล่อยให้เดินก็ไม่เห็นดีขึ้นเลย ต้องดัดนานแค่ไหน และก็ยังรู้สึกว่า ลูกเดินล้มบ่อยด้วยค่ะ เห็นมีบางคนแนะนำให้ไปตัดรองเท้าพิเศษ คู่ละหลายพันบาท จำเป็นไหมคะ แล้วจะไปตัดที่ไหนดี” คำถามมายาวเป็นชุดๆ เลยครับ แสดงว่าเป็นกังวลไม่น้อย และมีคุณพ่อคุณแม่ที่มีปัญหาแบบนี้หลายคู่

...
ภาวะขาโก่งในเด็ก มีหลากหลายรูปแบบและหลายสาเหตุ ทั้งโก่งออกด้านนอก โก่งเข้าด้านใน โก่งมาด้านหน้า หรือด้านหลัง แต่โดยส่วนใหญ่ในวัยหัดเดินจะเป็นขาโก่งออกด้านนอก หมายถึงเมื่อยืนตรงข้อเท้าชิด เข่าจะห่างกัน สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ต้องแยกให้ออกก่อนว่าขาโก่งที่ลูกเป็น เป็นขาโก่งแบบธรรมชาติซึ่งจะหายเองได้เมื่อถึงเวลา เพราะเป็นพัฒนาการแนวขาตามธรรมชาติ หรือเป็นขาโก่งแบบเป็นโรคที่จะไม่หายเองและจะรุนแรงขึ้นหรือโก่งมากขึ้น แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะเกือบทั้งหมดของเด็กวัยนี้ หรือมากกว่า 95% จะเป็นโก่งแบบออกด้านนอก คือโก่งแบบเดินขาถ่างๆ เข่าห่างๆ จากกัน เท้าอาจจะบิดหมุนเข้าใน ถ้าไม่ใช่ขาโก่งแบบออกด้านนอก ถือว่าผิดธรรมชาติครับ
ลองหันไปดูลูกหลานตัวเองครับว่าเป็นแบบนี้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ควรพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เลย เพราะมีโอกาสจะเป็นขาโก่งแบบเป็นโรค ซึ่งจะหายเองไม่ได้ และมักจะเป็นมากขึ้นๆ
ดูขาอย่างไรว่าโก่งหรือไม่โก่ง
ขาของลูกที่เห็นว่าโก่งนั้น อาจเป็นโก่งจริงหรือโก่งหลอก หมายถึงกระดูกขาโก่งจริงๆ หรือกระดูกขาไม่ได้โก่งจริงแต่เนื่องจากท่ายืนไม่ตรง จึงทำให้ดูภายนอกเหมือนขาโก่ง ลองสังเกตดูเมื่อเรายืนปลายเท้าชี้ออกด้านนอก งอเข่าเล็กน้อย จะดูเหมือนขาโก่งโค้งออกด้านนอก ถ้ายืนหันปลายเท้าเข้าด้านใน งอเข่าเล็กน้อยก็เหมือนขาโก่งเข้าด้านใน เพราะในเด็กช่วงวัย 1-2 ปี ซึ่งเป็นช่วงหัดเดิน การทรงตัวยังไม่มั่นคง เด็กจะเดินขาถ่างๆ หน่อย เข่างอเล็กน้อย และกางแขนเป็นบางครั้ง เพื่อช่วยในการทรงตัว อันนี้ เป็นท่าเดินมาตรฐานของเด็กวัยนี้ ดังนั้นเวลาดูว่ากระดูกขาโก่งหรือไม่แบบง่ายๆ ต้องเหยียดเข่าให้ตรงสุด หันลูกสะบ้าตรงมาด้านหน้า หรือหันเข้ามาด้านหน้า นำข้อเท้ามาชิดกัน ถ้ามีช่องว่างระหว่างขอบในของเข่าห่างเกิน 2 นิ้วของคุณพ่อคุณแม่ ให้ลองนำลูกมาให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจต่อ หรือถ้าเมื่อนำข้อเท้ามาชิดกัน แล้วเข่าลูกซ้อนกันหรือเกยกัน ให้ลองนำลูกมาตรวจเช่นกัน

ขาโก่งแบบธรรมชาติหายเองได้ เป็นอย่างไร แล้วจะหายเมื่อไหร่
กลไกการเจริญเติบโตตามธรรมชาติของกระดูกขาคนเรา นอกจากจะยืดยาวแล้ว แนวกระดูกขายังมีการเปลี่ยนแปลงปรับสมดุล ตามช่วงเวลา เพื่อให้แนวขามาอยู่ในแนวที่รับน้ำหนักตัวได้ดีที่สุด โดยขาคนเราประกอบด้วยสามส่วน คือส่วนต้นขาเหนือเข่า ส่วนขาใต้เข่า และสุดเท้าคือเท้า ถ้ามองด้วยสายตาจะเห็นขาส่วนต้นขาอยู่ในแนวเส้นเดียวกันกับกระดูกใต้เข่า แต่ในความเป็นจริงแล้วกระดูกต้นขากับกระดูกส่วนใต้เข่า ไม่ได้อยู่ในเส้นแนวเดียวกัน แต่จะทำมุมกันประมาณ 6-7 องศา
การเจริญเติบโตของแนวขาเกิดขึ้นทั้งในแนวด้านข้าง ด้านหน้า หลัง และแนวหมุน คือเปลี่ยนแปลงทั้งสามมิติ ในบทความนี้จะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวข้าง ซึ่งทำให้ขาดูโก่งออกด้านนอกหรือโก่งเข้าด้านใน
การเจริญเติบโตของแนวกระดูกขาถูกกำหนดโดยธรรมชาติ จึงมีรูปแบบการปรับที่เหมือนกันทุกคน แต่บางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงช้า บางคนอาจเปลี่ยนเร็วกว่าอีกคน บางคน แนวเพี้ยนไปบ้าง แต่สุดท้ายก็จะกลับมาในแนวปกติ เปรียบเสมือนเด็กบางคนเดินได้เร็ว อายุ 11 เดือนก็พอเดินเองได้ ไม่ต้องจับ แต่เด็กบางคน เดินได้ช้า 14 เดือนถึงเดินได้ ไม่ต้องจับ สุดท้ายแล้วเด็กทั้งสองก็เดินเก่งเหมือนกันในที่สุด
ดูจากภาพข้างบน จะเห็นว่า แรกเกิดมา แนวกระดูกจะโก่งออกนอกทุกคน บางคนมากบางคนน้อย เชื่อว่าเกิดจากมดลูกที่มีรูปร่างเป็นถุงโค้ง และเด็กต้องขดตัวแน่นอยู่ในครรภ์ เมื่อเกิดมาจะเห็นขาใต้เข่ามีลักษณะโค้งชัดเจน เมื่อเด็กเริ่มเดินเด็กบางคนจะเดินขาถ่างมาก ชัดเจน บางคนก็ถ่างน้อย แนวกระดูกจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาตรงเมื่ออายุประมาณ 18 เดือน สามารถตรวจสอบได้โดยจับขาลูกเหยียดตรง หันลูกสะบ้ามาด้านหน้า หันเท้ามาด้านหน้า แล้วจับข้อเท้าชนกัน ดูที่เข่าว่าห่างกันมากไหมโดยปกติแล้วเข่าควรชนกันหรือห่างกันไม่เกิน 2 นิ้วคุณพ่อคุณแม่ อันนี้รับได้ เด็กบางคนแนวขากลับมาตรงเร็ว แต่บางคนกลับช้า อย่างไรก็ตาม อย่างช้าควรตรงก่อน 3 ปี ถ้าเลยอายุ 3 ปี แล้วยังโก่งออกนอก เข่าห่างกันอยู่ ควรพาไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจ ในรูป C แนวขาที่ระยะ 3 ปีครึ่ง ขาจะโก่งเข้าในเหมือนขาเป็ด เช่นเดียวกับขาโก่งออกนอก เด็กบางคนเป็นมาก บางคนเป็นน้อย ถ้าดูด้วยสายตา เทียบขาบนกับขาใต้เข่า มุมไม่น่าเกิน 10 - 15 องศา ถ้ามากกว่านี้ น่าจะลองพาลูกไปพบแพทย์ เช่นกัน เมื่อเด็กอายุมากขึ้น แนวขาจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแบบ รูป D แนวเหมือนผู้ใหญ่ คือโก่งเข้าในเล็กน้อยประมาณ 7 องศา ที่อายุประมาณ 7 ปี
...

การปรับแนวกระดูกโดยทั่วไปขาสองข้างจะปรับไปพร้อมๆ กัน ถ้าเห็นว่าข้างหนึ่งข้างใด แนวขาต่างกับอีกข้างชัดเจน ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าจะพาไปให้แพทย์ตรวจดู
รูปและข้อมูลดัง กล่าวด้านบนนี้ เป็นแนวทางในการดูการเจริญเติบโตของแนวขาเทียบกับอายุที่ดี ถ้าสังเกตว่าลูกของเราแนวขาไม่เป็นไปตามนี้ คือเมื่อถึงอายุที่ควรจะเป็นตามรูปแล้วกลับผิดปกติ เช่น อายุ 2 ปีแล้ว ขายังโก่งออกด้านนอกอีก ในขณะที่ควรจะกลับมาตรงแล้ว ควรพาลูกมาตรวจกับแพทย์ คือถ้าเป็นโก่งออกด้านนอกแบบธรรมชาติ ความโก่งจะค่อยๆ ตรงดีขึ้นเมื่ออายุ 2 ปี อย่างช้าไม่เกิน 3 ปี แต่ถ้าเป็นแบบขาโก่งเป็นโรค แนวขาโก่งออกด้านนอกนี้ จะยิ่งโก่งออกมากยิ่งขึ้น คือเมื่ออายุ 3 ปี ขาก็ยังโก่งออกด้านนอกอยู่ 4 ปี ก็ยิ่งโก่งออกนอกมาขึ้น นอกจากเด็กจะเดินไม่เหมือนปกติแล้ว ตัวจะโยกเยกไปตามขาข้างที่เดิน ข้อเข่าจะเสียเร็ว เนื่องจากการกระจายน้ำหนักของข้อไม่ดีเหมือนคนปกติ ข้อเข่าจะปวดตั้งแต่อายุน้อยๆ อักเสบ เดินได้ไม่ไกลเนื่องจากความเจ็บปวด
ขาโก่งออกด้านนอก ไม่ยอมหายเองตามธรรมชาติ
กรณีนี้พบได้ไม่บ่อย เป็นสถานการณ์ที่ต้องตรวจละเอียดว่ามีสาเหตุอะไรทำให้กระดูกไม่ปรับแนวตาม ที่ควรจะเป็น แบ่งกว้างๆ ให้เข้าใจง่ายว่า เป็นกลุ่มที่มีสาเหตุชัดเจนไปรบกวนการเจริญเติบโตของเยื่อเจริญขา กับกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนถือว่าเป็นโรคของเยื่อเจริญเองทำงานไม่ สมดุล ซึ่งมักเกิดกับเยื่อเจริญกระดูกใต้เข่า
กลุ่มแรก คือมีโรคไปรบกวนเยื่อเจริญขาทำให้โตไม่ปกติ มีหลากหลายโรคมากครับที่ทำแบบนี้ได้ แต่ก็เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย ยกตัวอย่างเช่น เกิดเนื้องอกกระดูกขาใกล้กับเยื่อเจริญทำให้การเจริญไม่สมดุล การติดเชื้อกระดูกขาทำให้การเจริญผิดปกติ หรือโรคพันธุกรรมหลากหลายชนิด การเอกซเรย์จะช่วยให้แพทย์สามารถเห็นโรคชนิดนี้ได้
...

กลุ่มที่สองเป็นโรคขาโก่งจากเยื่อเจริญกระดูกใต้เข่าเจริญไม่สมดุล ไม่พบว่ามีสิ่งใดทำลายเยื่อเจริญกระดูกโดยการเอกซเรย์ แต่พบการเจริญของเยื่อเจริญของกระดูกขาใต้เข่าเจริญไม่สมดุลกัน ระหว่างเยื่อเจริญด้านในของกระดูกเจริญช้ากว่าและเยื่อเจริญด้านนอกเจริญในอัตราเร็วกว่า ทำให้ยิ่งโตขายิ่งโก่งออกนอก โรคนี้ส่วนใหญ่พบในเด็กช่วงวัยหัดเดิน แต่ก็สามารถพบในเด็กโตถึงแม้จะน้อยกว่ามาก ที่นี้ปัญหาจะอยู่ในช่วงเด็กวัยหัดเดิน ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ว่าพบขาโก่งออกด้านนอกได้บ่อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นโก่งออกนอกแบบธรรมชาติ หายเองได้ ดังนั้น จึงเกิดความสับสนระหว่างขาโก่งออกด้านนอกแบบเยื่อเจริญกระดูกใต้เข่าเจริญไม่สมดุล ซึ่งไม่สามารถหายเองได้ กับขาโก่งออกด้านนอกแบบธรรมชาติหายเองได้
โรคขาโก่งออกด้านนอกแบบเยื่อเจริญกระดูกใต้เข่าเจริญไม่สมดุลนั้น สาเหตุยังไม่เป็นที่สรุปชัดเจน แต่มักพบได้บ่อยในเด็กที่อ้วน และเดินเร็ว มักพบบ่อยนะครับไม่ใช่สาเหตุ ดังนั้น เด็กผอมก็เป็นโรคนี้ได้ แต่เด็กอ้วนพบบ่อยกว่า และเด็กอ้วนที่เป็นโรคนี้ ก็มักรักษาได้ยากกว่าเด็กผอม เป็นหนึ่งในปัญหาของเด็กอ้วนอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนความเชื่อที่ว่า การอุ้มเด็กแบบเหน็บข้างตัวอ้าขาออก เป็นสาเหตุของโรคนี้ ไม่เป็นความจริงและไม่เกี่ยวกัน การดัดขาตั้งแต่ทารกหลังอาบน้ำสามารถป้องกันโรคนี้ได้ ก็ไม่เป็นความจริงครับ การดัดขาโดยใช้มือทำ เป็นครั้งๆ ไม่สามารถสร้างแรงกดกับกระดูกขาได้เลย แรงจะไปบิดที่เอ็นยึดข้อ จึงไม่ได้ช่วย หรือป้องกันโรคนี้ได้แต่อย่างไร
วิธีแยกระหว่าง ขาโก่งออกนอกแบบธรรมชาติกับ ขาโก่งออกนอกเป็นโรคเยื่อเจริญขาไม่สมดุล
สิ่งที่ใช้แยกง่ายๆ ระหว่างขาโก่งออกนอกแบบธรรมชาติ กับ ขาโก่งออกนอกจากเยื่อเจริญไม่สมดุล
ติด ตามสังเกตแนวขาโก่ง ตามช่วงเวลาที่ได้กล่าวในรูปภาพข้างต้น ขาโก่งออกนอกแบบธรรมชาติ ควรจะค่อยๆ ดูตรงขึ้นเมื่ออายุประมาณ 2 ปี แต่เด็กบางคนก็ปรับแนวขาได้ช้า ถ้าดูไม่แน่ใจ อาจรอได้ถึง 3 ปี ถ้าเลยจากนี้ยังโก่งออกนอก อยู่ ควรพาไปพบแพทย์
- ปริมาณความโก่ง สังเกตขาลูก โดยจับลูกนั่งหันหน้าหาเรา เหยียดเข่าให้สุด จับข้อเท้ามาชนกันให้เข่าหันมาด้านหน้า โดยหันเท้าชี้ไปด้านหน้า มองดูที่เข่า ถ้าเข่าชนกัน ถือว่าผ่าน ระยะระหว่างเข่า ถ้ามากเกินสองนิ้ว ของคุณพ่อคุณแม่ ให้คิดว่าแนวกระดูกโก่งออกนอก ถ้าโก่งมาก จนระยะห่างเกินกว่าสี่นิ้ว แสดงว่าโก่งมาก และมีโอกาสเป็นโรคสูงมาก ควรพาลูกไปพบแพทย์
- ความโก่งที่ไม่เท่ากัน ในท่าเดียวกับข้อ 2 ลองดูแนวขาส่วนเหนือเข่าเปรียบเทียบกับขาใต้เข่า จะเห็นแนวโก่ง ถ้าแนวโก่งสองข้างเป็นพอๆกัน อันนี้ มีโอกาสเป็นแบบธรรมชาติสูง แต่ถ้าขาสองข้างแนวโก่งไม่เท่ากันอย่างชัดเจน ลองนำเด็กมาตรวจดูครับ เท้าบิดหมุนเข้าในมาก ข้อนี้ พบได้ทั้งขาโก่งธรรมชาติ และแบบเป็นโรค แต่เท้าจะบิดหมุนมากชัดเจนกว่า ในรายที่โก่งออกนอกแบบเป็นโรค
...

รักษากันอย่างไร
มีคำแนะนำเรื่องวิธีการรักษามากมายโดยเฉพาะจากคนใกล้ตัว เช่น ต้องดัดขาลูกหลังอาบน้ำ ดัดบ่อยๆ โดยความเข้าใจการดัด คือการดันให้ตรงโดยจับขาเหยียดเข่าตรงและดันเข่าให้ตรง ในเด็กเล็กเอ็นต่างๆ ในร่างกายจะนิ่ม ดังนั้นการดัดเข่าจะทำให้ดูเหมือนเข่าตรงเล็กน้อย ตอนดัด สิ่งที่ดัดคือเอ็นยึดข้อเข่า โดยกระดูกไม่ได้รับการดัดแต่อย่างไร เมื่อปล่อยมือความโก่งจะเท่าเดิม เมื่อปล่อยให้ลูกยืนก็จะเห็นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ที่นี้ในรายที่เป็นโก่งแบบธรรมชาติ กระดูกขาโก่งจะหายได้เองอยู่แล้วเมื่อถึงเวลา ดังนั้นจึงทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะมือดัด ส่วนในรายขาโก่งเป็นโรค ดัดอย่างไร ก็ไม่หาย และจะยิ่งเป็นมากขึ้นด้วย ดังนั้นการดัดด้วยมือจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ขาหายโก่งแต่อย่างใด การดัดนวดขาเด็กไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ว่าไม่เกี่ยวกับการทำให้ขาหายโก่ง แต่การดัดนวดขาเด็ก จะช่วยสร้างสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครองจากการได้สัมผัสบีบนวด ลูกน้อยจะนอนหลับสบายได้
การดัดดาม โดยใช้อุปกรณ์ดัดขา มีพัฒนาการการใช้มานาน โดยใช้หลักการดัดคล้ายกับใช้มือดัด แต่มีอุปกรณ์ช่วยดามคงแรงดัด และแนวการดัดไว้ อุปกรณ์ที่ดามจะต้องยาวจากต้นขาลงมาถึงเท้า และต้องใส่นานหลายชั่วโมงต่อวัน จึงทำให้เด็กเดินลำบาก และไม่เป็นที่นิยมใช้ ผลการรักษาจึงไม่แน่นอน
การรักษาโดยการผ่าตัด โดยตัดแต่งกระดูกให้ตรง ใส่เฝือกขารอกระดูกติด เป็นวิธีที่สะดวก คาดหวังผลได้ชัดเจน และในเด็กเล็กกระดูกจะติดเร็วมาก โดยทั่วไปใส่เฝือกประมาณ 1-2 เดือน หลังจากนั้น สามารถปล่อยให้เด็ก ยืนเดิน ออกกำลังกายเบาๆ ให้กล้ามเนื้อฟื้นความแข็งแรง
โรคขาโก่งออกด้านนอกในเด็กเล็กนี้ ถ้าได้รับการรักษาที่เร็ว ผลการรักษาได้ผลดี โอกาสโก่งซ้ำน้อย แต่อย่างไรก็ตาม ในบางราย ปล่อยเด็กให้โก่งไว้นาน หรือโรคเป็นมากเอง เยื่อเจริญด้านในกระดูกขาเสียหายมาก ทำให้มีโอกาสเกิดขาโก่งซ้ำภายหลังผ่าตัดได้ การผ่าตัดจะทำยากขึ้น และต้องทำหลายครั้ง ดังนั้น ในทางที่ดีไม่ยุ่งยาก ลองสังเกตขาลูกดูตามคำแนะนำเบื้องต้นในบทความนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ให้กับคุณพ่อคุณแม่ คุณย่าคุณยาย และญาติท่านอื่นๆ ได้ ช่วยลดความกังวล และพาเด็กมาตรวจได้ทันท่วงทีเมื่อสงสัยว่าจะเป็นขาโก่งแบบเป็นโรค ยืนยันนะครับว่าปัจจุบันภาวะขาโก่งโดยส่วนใหญ่รักษาได้ผลดี อย่ารอจนเป็นมากๆ อายุมากๆ แล้วค่อยพามา
คลินิกกระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวชธานี
www.vejthani.com