มาตามนัดครั้งที่ 11 “พิชัย” เข้า บก.ปอท.รายงานตัวตามหมายเรียก ยัน นโยบายเพื่อไทยจะแก้ไข พ.ร.บ.คอมฯ ให้นำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศ ไม่ใช่นำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ขอบคุณภาค ปชช.ออกมาปกป้อง

วันที่ 16 ส.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เข้ารายงานตัวกับ บก.ปอท.แล้ววันนี้ เมื่อเวลา 13.00 น. พร้อมนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความ ได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ซึ่งได้กล่าวว่า หากจำกันได้มีประชาชนจำนวนมากคัดค้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้ เพราะกลัวว่า จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเล่นงานคู่แข่ง และประชาชนที่เห็นต่าง ซึ่งก็กลายเป็นจริง โดยพรรคเพื่อไทยขอยืนยันว่าจะมีนโยบายแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสามารถนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศให้ก้าวทันโลก มากกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดเห็น และเป็นการหยุดยั้งความเจริญของประเทศ ซึ่งรัฐบาลและ คสช. อาจจะไม่เข้าใจว่าการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนจะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ หายไปด้วย อีกทั้งยังทำลายบรรยากาศการลงทุนของประเทศ

ทั้งนี้ ข้อหาที่พยายามดำเนินคดีอาญากับตนนั้น ค่อนข้างเลื่อนลอยและไม่มีแม้แต่มูลคดีอาญาใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากรูปแรก เป็นรูปนิตยสารไทม์ที่เขียนว่า “สั่งแบนแล้ว ห้ามจำหน่ายในประเทศไทย” ซึ่งเป็นรูปที่กระจายจนเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนโดยทั่วไป และตนเห็นจึงได้นำมาโพสต์ เพราะมีคนจำนวนมากอยากซื้อนิตยสารฉบับนี้ แต่หาซื้อไม่ได้ ร้านค้าก็บอกว่า ไม่มีการนำเข้ามาจำหน่าย ตนเห็นรูปก็คิดว่าเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าใครแบน อาจจะเป็นร้านค้าแบนเอง ห้ามจำหน่ายเองก็ได้ อีกทั้งในอดีตก็มีการปิดช่องโทรทัศน์ เช่น ปิด Voice TV, Peace TV และ TV 24 และยังมีการปิดรายการโทรทัศน์อีกจำนวนมาก ซึ่งหนักกว่าการห้ามขายหนังสือนิตยสารมาก เรื่องดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือทำความเสื่อมเสียเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด คสช.ไม่น่าจะมาฟ้องตนได้

...

ส่วนอีกภาพหนึ่ง เป็นเรื่องการดูด 4.0 ในการสัมมนาของภาคประชาชนที่ได้เชิญตนไปร่วม จึงเป็นความเห็นทางวิชาการ ซึ่งมีข่าวการดูดและข้อมูลวิธีการการดูดออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ตนเพียงนำข้อมูลมาแชร์ในวงสัมมนาเท่านั้น อีกทั้งในรูปภาพก็ไม่ได้ระบุว่าคสช.เป็นผู้ดูด การที่ คสช.มาฟ้องตน เท่ากับยอมรับว่าเป็นผู้ดูด สส.เองใช่หรือไม่

นอกจากนี้ ตนต้องขอขอบคุณ คุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ซึ่งเป็นภาคประชาชนที่ได้ออกมาปกป้องและชี้แจงแทนตนในเรื่องการสัมมนาครั้งนั้น เพราะภาคประชาชนห่วงว่าการดูด ส.ส. ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้เงินจำนวนมากซึ่งไม่รู้มาจากไหน จะยิ่งทำให้มีการทุจริตคอร์รัปชันมากยิ่งขึ้นหลังการเลือกตั้ง หากพรรคที่ดูด ส.ส. เข้าไปเป็นรัฐบาล โดยการสัมมนาเป็นเสรีภาพของภาคประชาชนที่จะสะท้อนความคิดเห็นให้กับสังคมได้คิด

ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลและ คสช. ได้ย้อนกลับไปพิจารณาว่า ข้อท้วงติงที่ตนได้นำเสนอต่อสังคมจนถูก คสช.เรียกตัวและดำเนินคดีอาญารวมกันถึง 11 ครั้งนั้น เป็นข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์กับสังคมและผู้บริหารประเทศในยุคนี้หรือไม่ รัฐบาลและคสช.น่าจะนำข้อท้วงติงของตนไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขการบริหารงานมากกว่าจะเสียเวลามาเรียกตน ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อนเหมือนในปัจจุบัน และอยากให้ศึกษาแนวคิดทักษิโณมิกส์แนวใหม่ที่จะออกมาช่วงเลือกตั้ง ซึ่งจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแน่นอน.