มาเปิดเผยเรื่องราวความรักของตัวเองในรายการ คลับฟรายเดย์ ทางช่อง GMM25 เป็นครั้งแรก สำหรับนักร้องนักแสดงสาว เปา เปาวลี พรพิมล ซึ่งเธอได้เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็ก และการเข้าวงการบันเทิง

จนมาถึงเรื่องความรักกับแฟนหนุ่ม เอิร์ธ กานต์ กิจเจริญ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ซูโม่กิ๊ก เกียรติ กิจเจริญ ที่ได้ปลูกต้นรักกันมากว่า 8 ปีแล้ว โดย เปา ได้เล่าว่า

“เราเป็นคนที่โตมาในกรอบ กลัวการทำผิด กลัวแม่เสียใจ แม่จะฝังหัวมาว่าสิ่งนี้ไม่ดี ถ้าแม่ดูออกมาว่าเรารักใคร แม่จะบอกว่าไม่ควร ตอนเด็กๆ เราก็เป็นแบบนี้ กะเปิ๊บกะป๊าบ ก็ไม่สนใจใคร แต่พอเรามาอยู่วงการ ก็มีคนเข้ามา

เป็นความบังเอิญมากๆ ที่มาเจอกัน เพิ่งเล่นพุ่มพวง เราไปโปรโมตรายการลุงกิ๊ก (ป๋ากิ๊ก เกียรติ กิจเจริญ) พอถ่ายเสร็จ เราก็ออกมานอกสตูรอถ่ายรูปกับป๋ากิ๊ก จนป๋าออกมา ก็ถ่ายรูป พอถ่ายเสร็จป๋าก็บอกรอแป๊บนึงเดี๋ยวพาลูกชายมาถ่ายรูปด้วย

เอิร์ธก็ออกมางงๆ ถ่ายรูปคู่กันงงๆ ถ่ายเสร็จก็แยกย้าย สวัสดีกลับบ้าน เราก็แค่เออลูกป๋ากิ๊ก ไม่ได้สนใจอะไร ไม่รู้สึกอะไรต่อกัน”

...

ตอนนั้น ป๋ากิ๊ก คิดอะไรถึงเรียกมาถ่ายรูปด้วยกัน?

“มาถามทีหลัง ป๋าก็บอกว่าชงเล่นๆ ตอนนั้นป๋ามีพูดเล่นๆ ว่าเดี๋ยวจะให้ลูกชายจีบนะ หนูก็ไม่ได้อะไร แต่หนูก็ไม่กล้ามองหน้าเขา”

จากนั้น เอิร์ธ เผยความรู้สึก “วันแรกที่เจอกันก็เจอกันที่กันตนา เขามาโปรโมตหนังพุ่มพวง พ่อก็บอกว่าดาราคนนี้น่ารัก พูดเหน่อเล็กๆ

พอเลิกกอง พ่อก็ให้ไปถ่ายรูปกับน้องเปา ผมไม่ได้มองหน้าเขาด้วย แต่ก็รู้ว่าน่ารักดี แต่มันมีความรู้สึกบางอย่างว่าน่าจีบดี

ก็ไปขอเบอร์จากพีอาร์หรือคุณแม่นี่แหละ แล้วก็โทรไปเลยว่าเป็นทีมงานจากกลมกิ๊ก ผมก็ขอพินบีบีไป เขาก็เล่นตัว (หัวเราะ) ให้เฟซบุ๊กมา ก็คุยเฟซบุ๊ก แล้วเขาก็ใจอ่อนให้พินมา ก็คุยกันมาเรื่อยๆ”

กลับมาที่ เปาวลี ต่อ...

ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ตกหลุมรักกัน?

“ก็คุยไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่ได้รู้จัก คือเรารู้สึกว่าอยากคุยด้วย เหมือนเขามาดีนะ จนมาเจอกันอีกทีวันถ่ายโปรโมต แล้วเป็นช่วงหนังเข้า เราก็ชวนเพื่อนๆ และเขา แม่ด้วยไปดูหนัง เขาก็อยากมาถ่ายรูปกับเรา แต่เราระแวง เขาก็เลยได้ถ่ายห่างๆ ดูหนังก็คนละแถว”

ได้ปรึกษาแม่มั้ย?

“ยังไม่กล้าบอกแม่ เพราะเราแค่คุยปกติ จนเขากลับไปเรียนต่ออเมริกา ทางเราก็หนังเข้าคนรู้จักเรามากขึ้น แต่เราก็เริ่มสนุกที่จะคุยกับเขา

เราอยู่กันคนละแบบ เราอยู่แบบบ้านนอกๆ เขาอยู่อเมริกา เราสนุกได้รู้อะไรใหม่ๆ ต่างประเทศเป็นไง เราก็ยังมีความสุขดี ตัวเขาจะไป 9 เดือนและกลับมาเมืองไทยที”

เราเฝ้ารอการกลับมาของเขามั้ย?
“รอค่ะ เพราะทุกวันมันดูโอเค เราอยากคุยต่อไปเรื่อยๆ จนอยากจะเจอหน้าอีกครั้ง ตอนนั้นคุยได้ 1 ปี เขาก็ถามว่าตกลงเราเป็นแฟนกันหรือยัง เราก็บอกไปว่านี่ยังไม่เป็นอีกเหรอ (หัวเราะ) ก็ตกลงเป็นแฟนกัน

เราเจอกันน้อยมาก เขานานๆ กลับมาที 9 เดือนถึงจะกลับ เราก็ทำงานทุกวัน เขากลับมาทีเขาก็ต้องไปเจอเพื่อน ไปเจอครอบครัว ไปเที่ยวระยะสั้นๆ ของเขา โอกาสเจอน้อยมาก ไอ้เราก็เป็นคนขี้ระแวง อยากเจอแต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องหรือเปล่า เป็นข่าวมั้ย”

ที่ว่าเจอกันแวบๆ แวบขนาดไหน?
“แม่เขาก็มาพามากินข้าว กินจนเสร็จก็พามาส่งกลับบ้าน เจอกันครั้งเดียวแบบหลบๆ ซ่อนๆ แม่เขารับรู้ตั้งแต่แรก แม่เราก็รับรู้มั้ย (ถามแม่)”

แม่ “เขาไม่เล่า เราก็แอบสังเกต เวลาเขาโทรศัพท์ เรารู้สึกว่าลูกเราทำงานเหนื่อย แต่ถ้าเขาคุยกับเอิร์ธเขาจะมีพลัง กระปรี้กระเปร่าขึ้นเวที

เราก็ห่วง เราเป็นคนอยู่บ้านนอก เราก็ดูทีวีชอบซูโม่กิ๊ก แต่พอลูกชายเขามาชอบเรารู้สึกกลัว มันจะเป็นไปได้เหรอ บอกเค้าว่าต้องเผื่อใจ ถ้ามันไม่ใช่ แม่ว่าไม่ใช่ 70-80%

เราคนบ้านนอก อันนั้นเขาลูกป๋ากิ๊ก นักเรียนนอกพอถึงเวลาเขาก็ต้องไป ไม่ทำให้ลูกเราสมหวัง บอกลูกไว้ว่าถ้าไม่ใช่จะยังไง กลัวลูกเสียใจ”

เปาวลี “ปีแรกๆ เรากลัวคนแอบถ่ายรูป เราหัวโบราณไงเป็นดาราห้ามมีแฟน กลัวเป็นข่าว

...

เราก็บอกเขาว่าเจอกันได้แป๊บเดียว ถ้าเจอก็ที่ล็อบบี้แกรมมี่นะ เขาก็ขอมาเจอ เอาข้าวไข่เจียวสูตรคุณย่ามาให้เขาทำเอง เราก็แอบลงมา เราแฮปปี้นะที่เขามา แต่เราก็กลัวคนเห็น ก็ไปหาแอบๆ ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกเขา

เวลาคุยกันออนไลน์น่ะมีความสุข แต่ถ้ามาเจอเรากลัว เราระแวง เขาพร้อมมาเจอ แต่เราทำงานตรงนี้เรากลัว เรากลัวจริงๆ ว่าจะเกิดข่าว

เราน่ะไปบอกเขานะว่าอยากเจอมากเลย แต่พอเขากลับมาจะเจอจริงๆ เราบอกไม่ได้ เหมือนเราหักความหวังเขา”

จนวันหนึ่งเราบอกเลิกเขา

“คือเรารู้สึกเองว่า (เสียงสั่น) เรารู้สึกผิดที่ทุกครั้งที่จะมาเจอ ที่เราบอกเขาว่าถ้าเขากลับมาเราจะไปกินข้าวกัน พอถึงวันจริงเราทำให้ไม่ได้

จำได้มีครั้งหนึ่ง ไปดูหนัง หนังจริงๆ ที่ไม่ใช่พุ่มพวง ไปกัน 4 คนมีพี่เราอีก 2 คน เราพยายามเบี่ยงเขาเป็นคนไม่รู้จัก เดินกับพี่ 3 คน ทิ้งเขาเดินข้างหลัง (ร้องไห้)

แต่ใจเราดีใจนะ แต่เราไม่กล้า เขาน่าสงสาร แต่เราก็ไม่กล้าจะยังไงดีหว่า และพอในโรงหนัง เราก็ไม่ชิน กลัวคนจะเห็น

ตอนนั้นสถานการณ์อึดอัด เราอึดอัด เขาก็อึดอัดมาก พอออกจากโรงหนัง หน้าเสียกันทั้งคู่ เป็นการทำร้ายจิตใจกันด้วยซ้ำ เราเองอยากระบายกับใครสักคน แต่พูดกับเขาจะได้หรือเปล่า กลับบ้านก็ไม่โทรคุยกัน

จนเขาก็โทรมาว่าพรุ่งนี้จะกลับอเมริกาแล้วนะ เขาบอกว่า เขารู้สึกอึดอึด ว่าไม่ใช่แบบที่คิดแล้ว เขาก็บอกว่าหรือว่าไม่ต้องไปต่อดีมั้ย เราก็โอเค เรารู้สึกว่าเรานิสัยไม่ดี ก็โอเคห่างๆ กันไป แต่เราเสียใจมาก (ร้องไห้)”

เราถามตัวเองมั้ยว่าเรากลัวอะไรกันแน่?

“เราแบกรับ เราตั้งใจจะเป็นนักร้อง เราทำเพื่อพ่อแม่ ถ้าเรามีความรัก เราไปเลือกอะไรที่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่เพื่อพ่อแม่ เราจะทำยังไง (ร้องไห้)

...

พยายามคิดว่ามันไปด้วยกันได้ เราสามารถแยกงานกับความรักได้ แต่พอเอาเข้าจริง พอเริ่มหลายปี มันก็ได้เท่าเดิม”

ทำไมเราคิดว่าเรามีแฟนไม่ได้ ถ้ามีอย่างถูกต้องเหมาะสม ในที่แจ้งด้วยซ้ำ?

“หนูอยู่ในช่วงคาบเกี่ยว ตอนนั้นกระแสเปิดตัวแฟนยังไม่เท่าตอนนี้ การมีแฟนตอนนั้นยังห้ามอยู่ มันน่ากลัวกับอาชีพที่เพิ่งเริ่มต้น เรารู้สึกว่าเราเสี่ยงกับอาชีพไม่ได้

เราก็เคยคุยกับเอิร์ธว่าเข้าใจเรานะ เราเพิ่งเข้ามา เรายังไม่พร้อม เราให้ความหวังเขาตลอด ว่าเราขออีก 4 ปีนะ เขาก็บอกโอเค

ที่บอกเลิกกันนี่ก่อน 4 ปีนะคะ ตอนนั้นเราก็หยุด ร้องไห้อยู่ในห้องน้ำคนเดียว แม่กับพี่ชายไม่รู้ ร้องๆ แล้วเช็ดน้ำตา แล้วเราก็ออกมาร่าเริง (ร้องไห้)

เรารู้สึกเจ็บ เรามีอาชีพ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามบล็อกๆ เราต้องสร้างความสุขให้ทุกคน เราจะเศร้าไม่ได้ ขึ้นไปร้องก่อนเดี๋ยวค่อยกลับมาเศร้า

พอไม่มีเขาแล้ว ลำบากมาก เราเคยเจอกันทุกวัน เสร็จงานจะเจอข้อความว่า เสร็จงานหรือยัง พอไม่มีข้อความเขาแล้ว ก็รู้สึกว่าจริงเหรอ ทำไมเราไม่ยื้อเขาเลย (ร้องไห้)

...

พอประมาณอาทิตย์หนึ่งที่ไม่ได้คุยกัน เขาก็หายเงียบไปเลยไม่คุย แล้วเราเป็นคนโอเคเอง เราจะไปพูดอะไรได้ แต่เราคิดถึงเขาทุกวัน เหมือนอะไรขาดไปอย่างหนึ่ง

แต่เราคิดว่าจบแน่ๆ ก็ทำงานทุกวันให้พอลืมความเศร้าไปชั่วขณะ จนอาทิตย์หนึ่งจากนั้น เขาก็ส่งข้อความมาว่า ทนไม่ไหวคิดถึง เราดีใจ

เรารู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นกับเขา ขอโทษเขา และบอกว่าเขาว่าให้รออีก 4 ปีนะ เดี๋ยวเราเปิดตัว

เขาก็เคยถามทำไมต้องโกหก เปิดไปเลย แต่เรามองว่าเขาไม่รู้หรอกเพราะเขาไม่ได้ทำงานแบบเรา

เป็นรักระยะทางไกล ไม่กลัวมีใครเข้ามาในทางเขาเหรอ?

“ส่วนตัวเราเข้มแข็งพอ แต่เขาพอนานเข้าๆ เขาก็เหมือนทำใจ และชินกับการที่เราขอร้องไม่ให้เปิดตัว แต่ 4 ปีที่เราบอกเขาเรามั่นใจจริงๆ ถ้า 4 ปีแล้วใครถามเราจะบอกว่าเรามีแฟน 4 ปี

ที่ต้อง 4 ปีเพราะเรานับอายุแล้วว่าเราพูดได้แล้ว ไม่เร็วไป ถ้าเกิดไม่ได้รักกันจริงเราจะได้ไม่ต้องมาแก้ข่าวทีหลัง”

ไม่กลัวเขามีคนอื่นเหรอ?

“ทุกครั้งที่เขาอยู่อเมริกา เราจะเช็ก มีคนที่แท็กมาว่ามีใคร และถามว่าคนนี้ใคร เขาก็ตอบตามจริง เรารู้เวลานี้เขาทำอะไรๆ”

มีสักแวบที่คิดแบบที่คุณแม่คิดมั้ย เขานักเรียนนอก เรามีความต่างกัน?
“ตอนที่คุยกัน ไม่กลัว สนุกที่ได้แลกเปลี่ยนกัน เราบ้านนอก เขาไม่รู้เราก็บอกเขาไป เราไม่รู้อะไรเขาก็บอกแล้ว”

ผ่าน 4 ปีเรียบร้อย เราเปิดเผยกับคนอื่นได้อย่างชัดเจนหรือยัง?
“ยังเขินอยู่ๆ เราปรึกษาเขาตลอดว่าสมควรเปิดยัง เขาก็ทวงแล้วว่า 4 ปีแล้วนะ เปิดตัวได้ยัง

วันนั้นบังเอิญไปร้องเพลง พี่นักข่าวก็ตั้งไมค์แล้วเต็มเลย คำถามคือเป็นแฟนกับลูกป๋ากิ๊กเหรอ เพราะเวลาไปรายการไปรายการป๋ากิ๊ก ป๋าชอบแซวว่านี่ลูกสะใภ้

พอเขาถามเราก็บอกค่ะว่าคบกันได้ 4 ปีแล้ว คิดว่าเอิร์ธเขาก็คงโล่งใจ เหมือนเป็นของขวัญให้

เราไม่ได้อยากเป็นข่าว เราอยากบอกตามสัญญา ไม่มีอะไรค้างคาใจ เราก็โล่งใจ เสร็จงานก็โทรบอกเขา เขาก็บอกดีแล้ว เขาบอกเราว่าถ้ามันเป็นความลับคนจะคุ้ย

พอพูดไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เป็นความมโนของหนูเอง พอเปิดแล้วเราก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรนี่หน่า เราไม่ได้ทำอะไรผิด

ครอบครัวทั้งสองว่ายังไงบ้าง?
“ทางฝั่งเอิร์ธ ทั้งคุณย่า น้าๆ เปิดรับเราอยู่แล้ว แต่ทางเรา ปีแรกถึงปีที่ 4 ถ้าเกิดเขาจะมาส่งที่บ้าน เขาจะนั่งตัวตรงกันนิ่งๆ ใส่”

แม่เปาวลี “มันเกร็ง ไม่ได้ปฏิเสธ เขาน่ารัก เป็นลูกคนหนึ่งในครอบครัว เป็นกันเอง แต่เรารู้สึกว่าเขาเป็นลูกป๋ากิ๊ก เราเกร็ง พี่ชายนี่ได้ยินเสียงรถนี่ไปข้างบนแล้ว แต่แม่ไปไม่ทัน (หัวเราะ)

เปาวลี “ตอนแรกเขาก็ถามว่าทำไมพ่อแม่นิ่งกันหมดเลย เราก็ขอโทษบอกเขาว่าใจเย็นๆ นะ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะทำให้เห็น เดี๋ยวเขาก็ยอมรับเอง แต่จริงๆ คือตอนหลังก็รู้ว่าที่บ้านเราเกร็งเขา”

แม่เปาวลี “เราก็กลัวว่าเขาจะแค่คุยเล่นหรือเปล่า กลัวลูกสาวเสียใจ ถ้าลูกเรารักไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนต่างจังหวัด คนบ้านนอก เราไม่ได้มองว่าเปาเป็นคนดัง เรามองว่านี่ไอ้เปาลูกเรา เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง”

ตัวเขาเจ้าชู้มั้ย?
“เขาเคยเล่าว่าเขาเจ้าชู้ แต่พอคบกันนานๆ เขาก็แสดงให้เห็นว่าเขามีเราคนเดียว

พอเราเปิดตัวไปแล้ว ประจวบกับเขาเรียนจบ กลับมาทำงานเมืองไทย เขาก็ถามว่าเขาคบเราจริงจัง เราจริงจังกับเขาแค่ไหน ถ้าไม่ได้คิดถึงเรื่องแต่งงานจะได้จบ ไปหาคนใหม่ เราก็โอเคเรารักเขาจริง

ที่ผ่านคุ้มค่าการรอคอย เราฝ่าการรอคอยมาเยอะ ผ่านอะไรมาเยอะ เราคบกันมา 8 ปีแล้วค่ะ”

เขามาขอแต่งงานกันยังไง?

“พอเปิดตัวมากขึ้น เราไปทานข้าวบ้านเขา ป๋ากิ๊กก็ถามตลอดเมื่อไหร่แต่ง เราก็เคยบอกเอิร์ธว่า 30 ค่อยแต่ง จนไปญี่ปุ่น ไปเล่นเครื่องเล่นมอมแมมมาก เขาชวนเราไปดูทะเลสาบกัน เราก็สังเกตเขาเกาก้นจัง (หัวเราะ)

จนเขาควักแหวนออกมา บอกแต่งงานกับเอิร์ธนะ เอิร์ธรักนะ เราก็ร้องไห้ เรารู้สึกว่าเขาจริงจังที่สุดตั้งแต่เคยพูดกันมา”

เอิร์ธ “เรื่องเซอร์ไพรส์เราไม่เคยเซอร์ไพรส์คน เรื่องที่ผมให้แหวนนี่เตรียมงาน 3 วัน (หัวเราะ) มันถึงเวลาแล้วคบกันมา 7 ปี พ่อแม่ก็ถามแล้วเมื่อไหร่จะแต่งงาน มีหลานซะทีลูก ผมเป็นคนไม่ค่อยซึ้ง เลิฟยู ซารังเฮโย เบบี้

เปาวลี “นานๆ จะได้เห็นโมเมนต์นี้ แรกๆ ก็หวานๆ พูดเพราะ แต่หลังๆ ก็เริ่มเฮฮากันละ การพูดแบบนี้จะน้อยมาก”

พอเขาขอแล้วบอกทางบ้านยังไง?

“เราก็ไปหาป๋ากิ๊ก บอกว่าหนูจะขออนุญาต วิดีโอคอลให้คุยกับแม่นะคะ ก็ให้แม่ดูแหวน หนูก็ให้พ่อกิ๊กเป็นคนพูด พ่อกิ๊กก็บอกว่าลูกชายผมขอลูกสาวแม่แต่งงานแล้วนะ เด็กเขารักกันนะ แม่ก็บอกค่ะๆ ก็ยิ้มกันหน้าเสีย (หัวเราะ) ก็เดี๋ยวจะแต่งปลายปีหน้า

อยากบอกอะไรกับ เอิร์ธ มั้ย?

“จะครบ 8 ปีแล้ว ขอบคุณความอดทนที่ทำให้พ่อแม่เห็น ว่าเอิร์ธเป็นคนดี ให้พ่อแม่สบายใจขึ้น

ทุกอย่างเกิดจากการที่เอิร์ธกระทำให้เห็นว่าเอิร์ธเป็นคนดี เอิร์ธรักครอบครัวเขา รักครอบครัวเรา ขอบคุณที่ทำให้เราสบายใจทุกอย่าง เลิฟยู (ยิ้มทั้งน้ำตา)

อยากบอกอะไรครอบครัวเรา?

“(เสียงสั่น) ขอบคุณพ่อแม่ ครอบครัวพี่ ขอบคุณที่สร้างเราทุกอย่าง จากเด็กคนหนึ่งที่กะเปิ๊บกะป๊าบ ให้เรามีทุกอย่าง

จากพ่อแม่ที่จบ ป.4 สอนวิชาอะไรไม่ได้เลย แต่เค้าสอนมารยาททุกอย่าง (ร้องไห้) แม่บอกว่าที่พ่อแม่ด่าที่บ้านดีแล้ว ถ้าออกไปข้างนอกบ้านแล้วคนอื่นด่าแปลว่าที่บ้านสอนมาไม่ดี ที่หนูทำงานหนักตั้งแต่เด็กๆ ก็เพื่อครอบครัว

แม่เปาวลี “ขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกแม่ มีลูก 2 คน เขาไม่เกเร ภูมิใจในตัวเขามาก บางทีแม่ก็สอนเยอะเกินไป สอนพร่ำเพรื่อแต่เขาก็ทนแม่ได้ ไม่ดุแม่ไม่อะไรแม่ เขาเข้าใจว่าเราหวังดี”.