ภายหลังไทยรัฐได้เปิดโปง “ขบวนการปลอมวีซ่าเมียนมา” สำหรับชาวเมียนมาที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทย อันถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง โดยมีการจับกุมผู้ใช้ดวงตราประทับวีซ่าปลอมได้จำนวนมากทางภาคพื้นดินจากหลายด่าน ตม.ของไทย รวมทั้งผู้ที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานและผู้ต้องหาส่วนใหญ่รับว่าไปขอทำวีซ่าจริงจากสถานทูตไทย ณ นครย่างกุ้ง มีนายหน้าเป็นผู้พาไปทำกับเจ้าหน้าที่หญิงในสถานทูต โดยเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากกว่าปกติ แต่กลับได้วีซ่าปลอม ทำให้ถูกจับกุมดำเนินคดี ขณะเดียวกัน ทางสถานทูตไทย ณ นครย่างกุ้ง แจ้งว่าได้รายงานเหตุที่เกิดขึ้นมายัง กระทรวงการต่างประเทศไทย และอ้างว่าเป็นการ กระทำของ “บุคคลภายนอกสถานทูต” ตามที่ไทยรัฐได้เสนอไปตามลำดับนั้น

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นายวันชัย รุจนวงศ์ อดีต อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศและอดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ Wanchai Roujanavong ที่มีการแท็กข้อความถึงผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Busadee Santipitaks ด้วย ระบุว่าขบวนการปลอมวีซ่า ใช้ตราประทับปลอม ทำกันที่สถานทูตไทยในย่างกุ้ง เป็นกระบวนการใหญ่มาก มีการปลอมมานานแล้วหลายหมื่นราย งานนี้เป็น อันตรายต่อความมั่นคงมาก มีการเรียกเงินกันมากมาย

ในเฟซบุ๊กของนาย Wanchai Roujanavong ยังเขียนข้อความอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแถลงข่าวว่า การปลอมเป็นเรื่องของคนนอก ข้าราชการไม่เกี่ยว แต่จากข้อมูลวงใน เป็นที่น่าสงสัยมากว่าต้องมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างสถานทูตไทยเกี่ยวข้องด้วย ถ้าไม่มีคนในเกี่ยวข้อง ขบวนการจะไม่ใหญ่โตได้ขนาดนี้

เฟซบุ๊กของ Wanchai Roujanavong ยังระบุข้อความด้วยว่า กรณีนี้มีการทำกันเป็นกระบวนการต่อเนื่อง เป็นความผิดร้ายแรง มีผู้ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป กระทำผิดข้ามชาติ เป็นความผิดตามกฎหมายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติด้วย นอกจากความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและถ้ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็จะมีความผิดฐานทุจริตด้วย เรื่องนี้เคยเกิดลักษณะทำนองเดียวกันกับสถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยนานมาแล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นล้างบางเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ทั้งชุด เพื่อตัดปัญหาการทำผิดก่อน แล้วสอบสวนกันอย่างจริงจัง เพราะทำให้เสียหายอย่างมาก

...

นายวันชัยยังโพสต์ข้อความอีกว่า กต. ไทยควรทำอย่างเดียวกัน แล้วตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด พร้อมกับสอบสวนภายในด้วยและควรแจ้งข้อกล่าวหาต่ออัยการสูงสุดเพื่อสอบสวน ความผิดนอกราชอาณาจักร การย้ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกเพื่อตรวจสอบจะเป็นการสร้างความโปร่งใสอย่างดีที่สุดและเป็นการรับประกันว่าจะไม่มีการทำผิดในอนาคต

ทั้งนี้ ในการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของนายวันชัย ยังได้นำภาพ นสพ.ไทยรัฐที่ตีพิมพ์ข่าวเรื่องนี้ มาเป็นภาพประกอบการโพสต์ข้อความด้วย

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงในสถานทูตไทย ณ นครย่างกุ้ง และแหล่งข่าวซึ่งเป็นอดีตกงสุลรายหนึ่ง ที่ขอไม่ เปิดเผยนามด้วยว่า จากข้อสังเกตเท่าที่ผ่านมาหลายเหตุการณ์ที่มีการพบการทุจริตในสถานที่ราชการหรือหน่วยงาน องค์กรต่างๆ มักจะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ตามมา เพื่อเป็นการทำลายหลักฐาน หวังว่าขบวนการปลอมแปลงดวงตราประทับวีซ่าคงไม่ทำให้เกิดเหตุแบบนี้ที่สถานทูตไทย ณ นครย่างกุ้ง

ขณะที่ น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าววันเดียวกันนี้ว่า ตามที่ปรากฏรายงานข่าว เกี่ยวกับการปลอมแปลงการตรวจลงตรา(วีซ่า) แบบใช้ตรายางประทับตรวจลงตราของชาวเมียนมานั้น ขอชี้แจงว่ากระทรวงการต่างประเทศ ไม่ได้นิ่งนอนใจได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้งหรือ สอท. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรากฏผลพบว่า การดำเนินการของฝ่ายกงสุล เป็นไปตามขั้นตอนที่รัดกุม การปลอมแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากสถานทูต แต่เป็นการดำเนินการจากภายนอก ทันทีที่ตรวจพบการปลอมวีซ่า ตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. 2561 กระทรวงการต่างประเทศและ สอท. ได้ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อขอความร่วมมือในการสอดส่องหามาตรการเพื่อป้องกัน และได้ประสานฝ่ายเมียนมาเพื่อขอความร่วมมือในการตรวจสอบ