ปัด ‘2 มาตรฐาน’ ถือหางสามมิตร
คสช.เตือนกลุ่มการเมืองเคลื่อนไหวอย่าล้ำเส้นกฎหมาย “ทีมโฆษกฯ” ปัดสองมาตรฐานถือหาง กลุ่มสามมิตรโชว์พลังดูด ย้ำจับตาดูทุกกลุ่มทุกพรรคเท่าเทียม “สมคิด” อัด “แรมโบ้” ดราม่า น้ำเน่าถอนคำสาบาน “ท้าวสุรนารี” เปลี่ยนจุดยืนคืนสนามเลือกตั้ง “ก่อแก้ว” ห่วงแทนกลับหลังหัน 180 องศาจะไร้ที่ยืนในสังคม ชาวโคราชส่ายหน้าไม่เอาคนกลับไปกลับมา ลั่นย่าโมศักดิ์สิทธิ์อย่าทำเป็นของเล่น “พี่ชายสุภรณ์” ผวาแรงต้านหนักเว้นวรรคชั่วคราว “ชิดชัย” ซุ่มชงโปรเจกต์หลบไม่ไปรับหน้า “บิ๊กตู่” สัญจรอุบลฯ “ประยุทธ์” วอนประชาชนเข้าใจจะเอาประชาธิปไตยเข้มแข็งยั่งยืนต้องใช้เวลา รับสภาพสางหนี้ครัวเรือนไม่กระเตื้อง “มีชัย” จัดระเบียบ ตร.อารักขาบุคคลสำคัญ ขีดเส้นอดีตนายกฯไร้คดีติดตัวถึงได้รับเกียรติ
กรณีแกนนำกลุ่มสามมิตรรุกคืบเดินสายดูดอดีต ส.ส.อย่างหนัก และเตรียมนัดพบปะหารือกับอดีต ส.ส.ที่จะย้ายมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทุกวันจันทร์ พร้อมจัดกิจกรรมนัดพบสมาชิกครั้งใหญ่ที่สนามกอล์ฟไพเฮิร์สทปลายเดือน ก.ค. ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคการเมืองตรงข้ามว่า คสช.มีการเลือกปฏิบัติสนับสนุน แต่กลุ่มที่สนับสนุนตัวเอง แต่กลับยังห้ามพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมเคลื่อนไหว
คสช.กระแอมกลุ่มการเมืองอย่าล้ำเส้น
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวแสดงพลังดูด ส.ส.ว่า นักการเมืองที่ลงไปพบปะพูดคุยกับประชาชน และลงพื้นที่ต่างๆนั้น ขอย้ำว่า คสช.ติดตามการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองทุกกลุ่ม ปัจจุบัน คสช.ประเมินว่ายังไม่มีอะไรเป็นพิเศษที่ต้องน่าวิตกและห่วงใย เมื่อถามว่า การที่กลุ่มสามมิตรใช้พลังดูด ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตามภูมิภาค ถือว่าขัดคำสั่ง คสช.หรือไม่ พล.ต.ปิยพงศ์กล่าวว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองอะไรก็ตาม ถ้าไม่ขัดกฎหมาย คสช.จะติดตามเฝ้าดูเท่านั้น จะไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ใครมีพฤติกรรมแบบไหน ถ้าไม่ขัดกฎหมายดำเนินการต่อไปได้ แต่ถ้ากิจกรรมใดเริ่มขัดกฎหมาย คสช.จะแจ้งให้ทราบ จากนั้นจะตักเตือน ห้ามปราม ระงับยับยั้งให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
...
ปัดสองมาตรฐานถือหางสามมิตร
เมื่อถามอีกว่า แต่มีเสียงสะท้อนว่ากลุ่มการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาล คสช. จะไม่ถูกติดตาม เหมือนกลุ่มคัดค้าน กลายเป็นความยุติธรรมแบบสองมาตรฐานหรือไม่ พล.ต.ปิยพงศ์กล่าวว่า คสช.ไม่สามารถไปทำอะไรที่ผิดกรอบกฎหมาย ทำเกินอำนาจหน้าที่ กลั่นแกล้งใครจนสร้างความอยุติธรรมให้เกิดขึ้น ทุกสายตาของคนไทยทั่วประเทศติดตามดูการทำงานของรัฐบาล คสช. ดังนั้น เราต้องพึงระมัดระวังในแง่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ต้องเคารพกฎหมายด้วย เมื่อถามว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการใช้ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับพลังดูด ส.ส. คสช. พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าวว่าทหารเป็นกลไกหนึ่งของรัฐบาล เราทำงานภายใต้อำนาจหน้าที่และภารกิจที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการมา ไม่สามารถทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ได้ สังคม พี่น้องประชาชน รวมทั้งโลกโซเชียลมีเดียจะจับจ้อง ตรวจสอบติดตามดูความเคลื่อนไหวของทหารอยู่แล้ว ทหารทุกคนต้องระมัดระวัง อย่าไปทำอะไรนอกลู่นอกทาง คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ทหารจะทำแบบนั้น ทหารทุกนายต้องประพฤติ ปฏิบัติตนตามกฎหมาย และระเบียบวินัย ขณะเดียวกัน ถ้าอะไรที่ทำผิดกฎหมาย และกรอบอำนาจหน้าที่ ภารกิจ เราก็มีมาตรการลงโทษอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ทั้งทางวินัย และทางอาญา
“สมคิด” อัด “แรมโบ้” ดราม่าน้ำเน่า
นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแนวร่วม นปช.ขอถอนคำสาบานต่อหน้าท้าวย่าโมลงสนามการเมืองอีกครั้งว่า ถ้านายสุภรณ์จะทำการเมืองไม่อยากให้รบกวนย่าโม อย่าอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการเมือง ไม่อยากให้มาตัดพ้อว่าพรรคเพื่อไทยไม่เห็นหัว สถานการณ์เช่นนี้ พรรคไม่ได้ทำกิจกรรมทางการเมือง หรือติดต่อใคร ทุกคนประสบเหมือนกันหมด นายสุภรณ์ลาออกจากสมาชิกพรรคตั้งแต่ยึดอำนาจปี 57 หันไปให้ความร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคงตั้งแต่ต้น ฉะนั้นอย่าบ่นว่าพรรคไม่ดูแลหรือไม่ได้รับเกียรติ ถ้าจะไปเป็นสิทธิจะไป สุดท้ายประชาชนในเขตเลือกตั้งจะตัดสิน เมื่อไปแล้วไม่ว่ากันขอให้โชคดี แต่ถึงขนาดถอนคำสาบานได้ มองว่าเป็นละครชีวิตไปเสียหน่อย อย่าทำตัวน้ำเน่ามากเกินไป
พลิก 180 องศาห่วงจะไร้ที่ยืน
นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. กล่าวว่า แปลกใจที่นายสุภรณ์สวนทางกลับหลังหัน 180 องศามาหนุน คสช.ให้อยู่สืบอำนาจเผด็จการต่อ เป็นห่วงแทนเพราะผิดคำพูดจะเลิกเล่นการเมืองถึงกับยอมถอนคำสาบาน ผิดคำพูดบนเวทีต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหันมาหนุนเผด็จการ หากประชาชนไม่เข้าใจนายสุภรณ์จะยืนอยู่ในสังคมลำบาก ไม่รู้ว่ามีเงื่อนไขอะไร อาจเพราะมีคดีเยอะหรืออาจถูกบีบคั้น หรือมีข้อเสนออะไรเรื่องนี้หรือไม่
ชาวโคราชไม่เอาคนกลับไปกลับมา
ที่ จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีที่นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำ นปช.ประกาศจะเดินทางมาจุดธูปถอนคำสาบานต่อหน้าอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) เพื่อกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง โดยไปร่วมกับกลุ่มสามมิตรและพรรคพลังประชารัฐนั้น จากการสอบถามชาวโคราชที่อาศัยอยู่รอบลานอนุสาวรีย์ย่าโมถึงเรื่องดังกล่าว โดยนางอรุณรัตน์ ตอบกลาง อายุ 63 ปี กล่าวว่าคำพูดของนักการเมืองแบบนี้เชื่อถือไม่ค่อยได้ ถ้าอยากจะเป็นนักการเมืองที่ดี ต้องพูดจริง ทำจริง หนักแน่นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ประชาชน โดยเฉพาะช่วงที่หาเสียง จะต้องเสนอนโยบายต่างๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ และตัดสินใจเลือกเข้ามาพัฒนาบ้านเมือง ถ้าพูดอย่างทำอย่างใครจะเชื่อถือได้ จึงมองว่าการที่นายสุภรณ์พูดเช่นนี้ ทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง ประชาชนทุกวันนี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่านักการเมืองแบบไหนน่าเลือกมาเป็นผู้แทนฯ ไปทำงานในรัฐสภา
ย่าโมศักดิ์สิทธิ์อย่าทำเป็นของเล่น
ด้านนายประสงค์ ฉุนจะโปะ อายุ 73 ปี กล่าวว่า อาศัยอยู่ที่ลานอนุสาวรีย์ย่าโมมากว่า 10 ปี มีนักการเมืองมากมายมากราบขอพรทุกครั้งก่อนเลือกตั้ง ย่าโมเป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของโคราช นักการเมืองจะมาสาบานอะไร ควรยึดถือไปประพฤติปฏิบัติให้ได้ ไม่ใช่พูดอย่างทำอย่างเหมือนของเล่น ถ้าอย่างนั้นอย่าเสียเวลามาสาบานเลยดีกว่า ทุกวันนี้ประชาชนเขาฉลาดกันหมดแล้ว คงไม่เลือกมาเป็นตัวแทนแน่นอน การที่นักการเมืองจะพูดกลับไป กลับมาอย่างนี้ ตัวเองน่าจะรู้ตัวดีว่าสมควรหรือไม่ที่จะเสนอตัวมาสมัครเป็นผู้แทนให้ประชาชนเลือก ขอให้พิจารณาดูด้วยตัวเอง ตนเป็นคนหนึ่งที่จะไม่เลือกคนแบบนี้แน่นอน
พี่ชาย “แรมโบ้” เว้นวรรคผวาแรงต้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า กรณีนายสุภรณ์นั้นก่อนหน้านี้ มีความพยายามจากอดีต ส.ส.นครราชสีมา บางรายจะเป็นกาวใจให้กับทั้งพรรคและคนเสื้อแดง แต่เมื่อนายสุภรณ์ไปเปิดตัวเดินเกมให้พรรคพลังประชารัฐ จึงยากจะกลับมาร่วมงานการเมืองกันได้อีก และเมื่อนายสุภรณ์ย้ายขั้วผลกระทบยังตกมาถึงนายสัมภาษณ์ อัตถาวงศ์ พี่ชายนายสุภรณ์ ที่ยังเป็นสมาชิกพรรคและเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะลงสมัคร ส.ส.นครราชสีมา ในนามพรรคเพื่อไทย นายสัมภาษณ์ลำบากใจมาปรึกษากับอดีต ส.ส.ในพรรคบางคนขอเว้นวรรคการเมืองไม่ขอลงสมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะกลัวกระแสชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อแดงไม่เลือก และจะส่งผลกระทบมาถึงพรรคด้วย แต่ยังยินดีจะช่วยงานพรรคเพื่อไทยในส่วนอื่นต่อไป ทั้งนี้ นายสัมภาษณ์ปฏิเสธจะให้สัมภาษณ์ ระบุเพียงว่าทราบข่าวจากสื่อเหมือนกัน ขออนุญาตยังไม่ให้รายละเอียดใดๆ
“ชิดชัย” ชงโปรเจกต์ไม่ไปรับหน้า “บิ๊กตู่”
พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกฯ และอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.อุบลราชธานีว่า ส่วนตัวขออยู่กินข้าวที่บ้านคงไม่ไปรอต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อายุ 72 ปีแล้ว แก่งุ่มง่าม ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวอะไร ในฐานะประธานมูลนิธิพัฒนาอุบลได้ทำหนังสือไปถึงนายกฯ เสนอแนะแนวทางพัฒนา จ.อุบลราชธานี ไปแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ ไม่ต้องไปรอต้อนรับอีก อดีต ส.ส.อุบลราชธานี คนใดจะไปรอต้อนรับหรือไปพูดคุยเป็นสิทธิส่วนบุคคล ส่วนที่อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทยขัดแย้งแตกแยก การเมืองก็เป็นแบบนี้ คงไม่ไปยุ่ง ให้เป็นเรื่องของเด็กๆไป
“โอ๊ค” ประชดคนอยากให้พ่อป่วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.53 น. วันที่ 20 ก.ค. นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ทวีตข้อความว่า “หรา อยาก ให้ป่วยมากช่ะ?” โดยลงข่าวจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่ระบุว่า “สะพัด ทักษิณ ล้มป่วยกะทันหัน” มีผู้เข้ามาร่วมแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ท่ามกลางกระแสข่าวนายทักษิณล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
“บิ๊กตู่” จุดตะเกียงขอไทย-ภูฏานมีสุข
สำหรับภารกิจการเดินทางเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ค. ช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ค. (ตามเวลาท้องถิ่นช้ากว่า 1 ชั่วโมง) ที่เมืองทิมพู พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมนาง นราพร จันทร์โอชา ภริยา เดินทางไปยังเจดีย์อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ทิมพู เพื่อประกอบพิธีจุดตะเกียงเนยตามธรรมเนียมชาวภูฏาน โดยนายกฯอธิษฐานให้ประชาชนไทยและภูฏานมีความสุข จากนั้นเดินทางต่อไปที่ศูนย์แสดงสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Gewog One Product : OGOP) เมืองพูนาคา นายกฯสนใจผลิตภัณฑ์ต่างๆจะนำไปปรับใช้ในการผลิตสินค้าโอทอปของไทย ระหว่างนั้นนายกฯ ได้พบปะกับอาสาสมัครเพื่อนไทย 6 คน ที่ปฏิบัติงานภายใต้โครงการ “Friends from Thailand” ส่วนใหญ่เป็นครูสอนวิชาต่างๆ อาทิ ภาษาไทย เทคโนโลยีสารสนเทศ จากนั้นนายกฯร่วมทานอาหารกลางวันกับดาโช เชริง โตบเกย์ นายกฯ ภูฏานเป็นการส่วนตัว ที่บ้านพักนายกฯ เดินทางกลับไทยเวลา 16.00 น.จะถึงเวลาประมาณ 22.00 น.
วอนเข้าใจ ปชต.ยั่งยืนต้องใช้เวลา
พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ขอให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล ที่ทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาและปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ให้ประชาชนมีความสุข แต่อาจต้องใช้เวลาบ้าง ขอให้ประชาชนเข้าใจรัฐบาลเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยของไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน
รับสางหนี้ครัวเรือนไม่กระเตื้อง
เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนว่า แม้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศจะดีขึ้น แต่ปัญหาปากท้องโดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนช่วง 3 เดือนแรกปี 61 ทรงตัวจากปลายปี 60 ความสามารถการชำระหนี้ของประชาชนยังไม่กระเตื้อง มีทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ ภาครัฐเร่งมาตรการช่วยเหลือ หนี้นอกระบบส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ผลผลิตไม่ได้ตามเป้า ปัญหาชำระหนี้ลุกลามจนไม่สามารถใช้ที่ดินทำมาหากินได้ อีกส่วนคือกู้เงินมาใช้ในสิ่งไม่จำเป็น ลูกหนี้นอกระบบทั้งหมดในฐานข้อมูลภาครัฐมีประมาณ 350,000 ราย ไกล่เกลี่ยหรือทำข้อตกลงประนอมหนี้ไปแล้วกว่า 55,000 ราย
หนี้เสีย ช.พ.ค.มากกว่า 5 พันล้าน
นายกฯกล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาหนี้ของผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ อาทิหนี้ในกลุ่มครู มีทั้งในและนอกระบบ มีมูลค่าหนี้สูง ส่วนหนึ่งเป็นหนี้โครงการสวัสดิการเงินกู้สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) มีผู้กู้กว่า 5 แสนราย เป็นเงิน 4 แสนล้านบาท เป็นหนี้เสียมากกว่า 5,000 ล้านบาท รัฐบาลพยายามใช้มาตรการช่วยเหลือ อาทิ ลดภาระหนี้ที่เริ่มปี 59 ให้เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 4 เพื่อนำไปชำระหนี้ ช.พ.ค. แต่มีผู้ร่วมโครงการไม่มากนัก ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้ธนาคารออมสินนำเงินสนับสนุนที่เคยได้รับจากโครงการ ช.พ.ค.ไปช่วยลดอัตราดอกเบี้ย ให้แก่ผู้กู้ที่มีวินัยดี ทำให้อัตรา ดอกเบี้ยลดลงจากเดิมร้อยละ 0.5-1.0 คิดเป็นเงิน 2,500 ล้านบาท
“บิ๊กป้อม” คืนโฉนดทาสเงินกู้ดอกโหด
ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เป็นประธานมอบโฉนดที่ดินให้ประชาชน 135 ราย โฉนดรวม 140 ฉบับ 285 ไร่ มูลค่า 120,067,995 บาท หลังชุดเฉพาะกิจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จับกุมผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 18 จุด จับผู้ต้องหาได้ 9 คน ยึดเอกสารกู้ยืม และโฉนดที่ดินได้จำนวนมาก มาคืนโฉนดที่ดินเป็นครั้งที่ 2 หลังคืนไปครั้งหนึ่งเมื่อเดือน มิ.ย. ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดยึดแนวทางนี้เป็นโมเดลแก้ปัญหา ลูกหนี้ควรอยู่อย่างพอเพียงได้รับโฉนดแล้วอย่าไปกู้ยืมมาอีก นายทุนต้องทำตามกฎหมาย
ลั่นครูเป็นหนี้ ไม่จ่ายไม่ได้
พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงกรณีข้าราชการครู ที่ จ.มหาสารคาม ประกาศเจตนารมณ์ไม่ใช้หนี้ว่า รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ข้าราชการครูเป็นหนี้ในระบบ ไม่ใช่กู้หนี้นอกระบบ ไม่จ่ายไม่ได้ เมื่อเป็นคนลงลายมือชื่อกู้ยืมเงินเอง ข้าราชการครูที่ประสบปัญหาต้องมาเจรจาว่าจะลดดอกเบี้ยหรือหาทางออก เพราะเป็นหนี้ต้องใช้หนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังส่งคืนโฉนดที่ดินให้ประชาชน พล.อ.ประวิตรได้พบปะกับประชาชนที่มารอต้อนรับกว่า 2,000 คน ล้วนต่างส่งเสียงเชียร์ว่า “นายกประยุทธ์สู้ๆ ประวิตรสู้ๆ” อยู่ตลอดเวลา
ธ.ออมสินเรียกให้มาผ่อนปรน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคาร ออมสิน กล่าวถึงกรณีเครือข่ายองค์กรวิชาชีพรูปเรียกร้องให้การพักหนี้โครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) พร้อมชักชวนลูกหนี้ ช.พ.ค. ยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2561 ว่า ช่วงปี 2547-2548 มีปัญหาหนี้นอกระบบมาก รัฐบาลพยายามแก้ไขทั้งระบบ รวมถึงช่วยเหลือกลุ่มครูที่เคยกู้หนี้นอกระบบเสียดอกเบี้ยเดือนละ 10-20% ธนาคารออมสินได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ให้กู้อัตราดอกเบี้ยต่ำเลือกผ่อนชำระได้นาน ตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ ธนาคารออมสินได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ครูมาอย่างต่อเนื่อง เราต้องการให้ครูที่มีปัญหาการผ่อนชำระ เข้ามาแจ้งความประสงค์ เพราะมีมาตรการให้ความช่วยเหลือครูที่ยืดหยุ่นผ่อนคลาย
“บิ๊กฉัตร” ทุ่มงบฯ ส่งเสริมสุขภาพ
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติว่า ในที่ประชุมได้พิจารณาการดูแลผู้สูงอายุให้มีสุขภาพพลานามัยที่ดี ที่สำคัญได้พิจารณาการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ กระทรวงสาธารณสุขมีโครงการ 1 วัด 1 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และกระทรวงวัฒนธรรมมีเรื่องของบวร คือ บ้าน วัด โรงเรียน จะนำโครงการเหล่านี้มาขับเคลื่อนพร้อมกัน ผ่าน รพ.สต.เป็นหลัก อบรมให้พระรู้ถึงการดูแลสุขภาพแล้ว คาดว่าจะเปิดโครงการทั่วประเทศได้กลางหรือปลายเดือน ส.ค. เป้าหมายคือภาคอีสาน ใช้ รพ.สต.กับวัดที่จับมือคู่กัน 5,403 แห่ง เป็นจุดเริ่มต้น และขยายไปทั่วประเทศ
คค.กดปุ่มบัตรคนจนขึ้นรถไฟใต้ดิน
วันเดียวกัน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม พร้อมผู้บริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ร่วมเปิดการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในระบบรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ทีวันแรก โดยนายอาคมกล่าวว่า ตั้งแต่เปิดให้ลงทะเบียนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐขอใช้สิทธิใช้บริการรถไฟฟ้าวงเงินรวมกัน 500 บาทต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. มีผู้ลงทะเบียนกว่า 10,000 ราย โดยลงทะเบียนได้ถึงสิ้นเดือน ก.ย.ในส่วนรถเมล์ ขสมก.และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ยังมั่นใจว่าทั้ง 2 ระบบจะเข้าร่วมโครงการได้ภายในเดือน ต.ค.นี้ ขณะที่ระบบเรือโดยสารต้องติดตั้งระบบอ่านบัตรเคลื่อนที่ ต้องวางระบบใหม่ เชื่อว่าจะเริ่มเข้าร่วมโครงการได้ภายในสิ้นปี 2561
“มีชัย” จัดระเบียบ ตร.ติดตามคนสำคัญ
เมื่อเวลา 13.50 น. ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า กรธ.มีแนวคิดจัดระบบตำรวจติดตามบุคคลสำคัญ มีทั้งพวกที่หน่วยงานราชส่งไปและไม่ได้ส่งไป ต้องหาทางทำให้ใช้อัตรากำลังได้อย่างเพียงพอ เพราะยังมีความจำเป็นในการอารักขาบุคคลสำคัญ ดังนั้นจะระบุในกฎหมายตำรวจให้ชัดเจนว่าอารักขาบุคคลในตำแหน่งใดบ้าง ส่วนที่เหลือที่ไม่เข้าข่ายจะต้องกลับต้นสังกัด แต่คงไม่ถึงกับยกเลิกตำรวจอารักขา เพราะภารกิจของตำรวจมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยพระบรมวงศานุวงศ์กับบุคคลสำคัญ ซึ่งนอกเหนือจากพระบรมวงศานุวงศ์ ต้องพิจารณาว่าใครบ้างที่เป็นบุคคลสำคัญ คนธรรมดาตำแหน่งใดบ้างที่สมควรมีตำรวจอารักขาให้กำหนดให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าใช้อัตรากำลังไปกี่คน รวมไปถึงตำรวจที่ไปลงชื่อว่าไปช่วยงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แต่ตัวไม่ได้ไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จะทำให้ชัดเจนว่า กอ.รมน.ต้องการกี่คน ต้องไปทำงานจริง ไม่ใช่ไปรายงานตัวแล้วหายไปเลย
อดีตนายกฯ มีได้ต้องไม่มีคดีติดตัว
นายมีชัยกล่าวต่อว่า สำหรับคนระดับนายกรัฐมนตรี แม้จะพ้นตำแหน่งไปแล้ว ควรต้องมีตำรวจอารักขาเพราะถือว่าเป็นเกียรติ แต่อดีตนายกฯคนนั้นจะต้องไม่มีคดีติดตัว ส่วนใครบ้างที่เป็นอดีตนายกฯแล้วสมควรมีให้ ครม.ตัดสิน ส่วนกรณีตำรวจอารักขา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถือว่าเข้าข่ายความผิด มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้นไม่ทราบ เป็นเรื่องของตำรวจที่จะดำเนินการ
ป.ป.ช.ยันไม่ยื้อเวลาคดีนาฬิกาหรู
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกตมีการยื้อเวลาตรวจสอบการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหมว่า คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงทำงานเต็มที่ หาข้อมูลหลักฐานมาประกอบ ขอให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน ถ้า ป.ป.ช.ทำงานเร่งรัด แต่ผลที่ออกมาไม่ครบถ้วนจะเสียหาย เหตุที่ต้องขอซีเรียลนัมเบอร์นาฬิกาหรูจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ เพราะบริษัทตัวแทนจำหน่ายในไทยแจ้งว่าไม่มีข้อมูล ไม่ได้ขายนาฬิการุ่นนี้ จึงต้องขอข้อมูลจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ ยอมรับต้องเสียเวลา แต่ถ้าไม่ขอข้อมูลจะไม่ครบถ้วน แต่ตอบไม่ได้ว่าเขาจะให้ข้อมูลซีเรียลนัมเบอร์หรือไม่ ส่วนที่ ป.ป.ช.ไม่ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนไปก่อน เนื่องจากยังไม่มีเหตุต้องตั้งอนุกรรมการไต่สวน ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องต้องตั้งอนุกรรมการไต่สวน ต้องมีข้อมูลจากการแสวงหาข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น แต่เรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อหาให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของนาฬิกาที่แท้จริง
ตรงไปมาปัดกระเตง “บิ๊กป้อม”
นายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การตรวจสอบข้อมูลนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรคืบหน้าไปมาก แต่ข้อมูลอาจยังไม่ครบ จึงต้องหาข้อมูลให้ครบถ้วน ยืนยันว่า ป.ป.ช.ดำเนินการตรงไปตรงมา คณะทำงานได้ข้อมูลในประเทศครบแล้ว เหลือเพียงข้อมูลที่ต้องขอจากต่างประเทศ ต้องใช้ความสัมพันธ์และกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย เนื่องจากนาฬิกาทั้งหมดผลิตจากต่างประเทศ ต้องขอข้อมูลเพื่อให้ความสมบูรณ์ คงต้องรอสักระยะหนึ่ง ถ้าไม่ได้ข้อมูลส่วนนี้ ต้องกลับไปดูว่าการแสวงหาข้อเท็จจริงที่ผ่านมาครบถ้วนหรือไม่ พิจารณาไปตามกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ได้ เมื่อถามว่า เรื่องนี้ยิ่งช้าออกไปจะไม่เป็นผลดีต่อ ป.ป.ช. นายวิทยาตอบว่าเข้าใจดี แต่ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ป.ป.ช.อยากทำให้เสร็จ แต่ต้องได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อถามว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่า ป.ป.ช.อาจช่วยเหลือผู้มีอำนาจ นายวิทยาตอบว่า ป.ป.ช.ตรงไปตรงมา พิจารณาตัดสินบน ข้อมูลตามข้อกฎหมาย
“วิษณุ” ห่วงตีความ ก.ม.เกินเหตุ
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การตีความกฎหมายที่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย” ตอนหนึ่งว่า การตีความกฎหมายเป็นการหาความหมายของคำทางกฎหมายให้เอามาใช้ได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์กฎหมาย แต่การตีความกฎหมายที่ขยายความมากเกินไปจะเสียความยุติธรรม วันนี้มีหลายคดีในศาลปกครองที่ศาลเห็นว่าการตีความของหน่วยงานรัฐตีความกฎหมายที่ผิด แบบไม่เป็นธรรม กรณีที่มีการร้องไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวหา รัฐมนตรี 8 คน มีตนรวมอยู่ด้วยให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี กรณีของตนแตกต่างกับอีก 7 คน เพราะถูกร้องให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเนื่องจากมีกฎหมายเขียนว่ารัฐมนตรี ต้องไม่ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ ตนเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยมา 10 ปีแล้ว ปัจจุบันยังเป็นอยู่ คนที่ร้องคงลืมว่ารัฐธรรมนูญมีมาตราหนึ่งระบุว่า บรรดาข้อห้ามที่เขียนในรัฐธรรมนูญไม่ใช้บังคับกับรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ แต่บังคับใช้กับรัฐบาลถัดไป กรณีของตนจึงจบไป
ชี้ 7 รมต.รอดถือหุ้นสัมปทานรัฐ
นายวิษณุกล่าวว่า ส่วนรัฐมนตรีอีก 7 คน ถูกร้องเนื่องจากถือหุ้นในบริษัทที่เป็นสัมปทานกับรัฐ รัฐธรรมนูญเขียนว่ารัฐมนตรีจะถือหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัมปทานของรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ได้ รวมถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย หากมีต้องพ้นจากตำแหน่ง ทั้ง 7 คน มีหุ้นอยู่จริง แต่มีหุ้นมาก่อนจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และก่อนเข้าดำรงตำแหน่งไม่ได้ขายหุ้นดังกล่าวออกไป ขณะที่ สนช.ที่ถือหุ้นสัมปทานมีเป็นร้อยคน แต่ยังไม่มีใครร้อง กกต.พิจารณาหลายเดือน มีข้อสรุปไม่นานมานี้แล้วว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม เป็นการตีความและวินิจฉัยว่าไม่ผิด กกต.ใช้เหตุผลว่าเรื่องดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยมาแล้วเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่าน มาว่าไม่ผิด เพราะเห็นว่าเรื่องใดที่รัฐธรรมนูญห้ามสำหรับการกระทำที่เกิดก่อนการดำรงตำแหน่ง พอมาดำรงตำแหน่งถึงยังมีต่อไปก็ไม่ผิด เพราะมีมาก่อน ดังนั้นคนที่มาเป็นรัฐมนตรี และ ส.ส.หากมีหุ้นลักษณะนี้ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างไรก็ไม่ผิด
กฎหมาย ป.ป.ช.ใหม่ใกล้คลอด
นายวิษณุ ให้สัมภาษณ์ว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับใหม่ จะได้รับการโปรดเกล้าฯและบังคับใช้ในอีก 1-2 วันนี้ เพราะครบกำหนด 90 วันในวันที่ 24 ก.ค. สิ่งที่สงสัยหรือลือกันไปว่าจะโปรดเกล้าฯลงมาไม่ทันกรอบเวลา 90 วันนั้น ไม่เป็นความจริง
กมธ.ปิดห้องถกลับงบฯกลาโหมปี 62
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ตามลำดับกระทรวง เข้าสู่การพิจารณางบฯกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในกำกับ ที่เสนอมา 222,671 ล้านบาท อาทิ ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง แบ่งเป็นแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 1,518 ล้านบาท แผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพป้องกันประเทศ 89,068 ล้านบาท แผนงานบุคลากรภาครัฐ (ด้านความมั่นคง) กว่า 106,460 ล้านบาท แผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง 27,855 ล้านบาท ทั้งนี้ตามปกติการพิจารณางบแต่ละกระทรวงที่ผ่านมาจะไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ารับฟัง แต่จะถ่ายทอดบรรยากาศการประชุมมายังห้องทำงานของสื่อมวลชน แต่เป็นที่น่าสังเกตวันนี้ไม่ได้มีการถ่ายทอด คาดว่าเป็นเพราะลักษณะงานกระทรวงกลาโหมไม่เหมือนกระทรวงอื่น มีฐานข้อมูลลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
สนช.พิจารณา ก.ม.วิธีการงบประมาณ
เมื่อเวลา 10.00 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณพ.ศ... สาระสำคัญในมาตรา 4 ว่าด้วยการกำหนดนิยามความหมายของคำว่ารัฐวิสาหกิจ ให้มีความหมายดังนี้ (1) องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของรัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้น หรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ (2) บริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนที่ส่วนหรือรัฐวิสาหกิจตาม (1) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกิน 50% (3) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตาม (1) หรือ (2) หรือที่รัฐวิสาหกิจตาม (1) และ (2) หรือที่รัฐวิสาหกิจตาม (2) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกิน 50% ทั้งนี้ สมาชิกสนช.หลายคนได้สอบถามว่าการกำหนดเนื้อหามาตรา 4 ไว้เช่นนั้น จะมีผลให้สามารถตรวจสอบได้เฉพาะรัฐวิสาหกิจของรัฐ และบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น จากที่หลักการเดิมของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 กำหนดคำนิยามของคำว่ารัฐวิสาหกิจให้คลุมไปถึงบริษัทที่บริษัทลูกเข้าไปถือหุ้นเกิน 50%
ผ่านฉลุยคุมแค่บริษัทแม่-ลูก
ขณะที่ กมธ.ชี้แจงว่าในเชิงการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินสามารถเข้าไปตรวจสอบบริษัทที่บริษัทลูกเข้าไปถือหุ้นเกิน 50% ได้อยู่แล้ว โดยตรวจสอบผ่านการจัดทำงบดุลของบริษัทแม่ในรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณามาตรา 52/1 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลที่ว่าด้วยการกำหนดให้กฎหมายอื่นที่อ้างความหมายของคำว่ารัฐวิสาหกิจตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ จะต้องดำเนินการปรับปรุงนิยามรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับนี้ภายใน 3 ปี จากนั้นที่ประชุมได้ข้อตกลงร่วมกันว่า ให้แก้ไขระยะเวลาของการแก้ไขนิยามคำว่ารัฐวิสาหกิจจาก 3 ปี เป็น 5 ปีเพื่อให้มีเวลาในการดำเนินการ และที่ประชุม สนช.มีมติเอกฉันท์ 178 คะแนนเห็นชอบให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
“วัชระ” ฉะลักไก่ออก ก.ม.ปล้นชาติ
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.วิธีงบประมาณ มีสาระสำคัญให้บริษัทหลานเหลนของรัฐวิสาหกิจ ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายงบประมาณ เท่ากับเอื้อประโยชน์ให้ปล้นชาติรอบใหม่ ไม่แตกต่างอะไรกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมกดหัวคนทั้งชาติ ให้ยอมรับวิธีการเบียดบังทรัพย์สินของคนไทยทั้งชาติไปให้เอกชน ทำให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ ถือเป็นวิธีการปล้นชาติแบบเนียนๆโดยอาศัย สนช.เป็นเครื่องมือออกกฎหมาย ไม่มีตัวแทนของประชาชนคอยตรวจสอบถ่วงดุล พวกเขากำลังจะผ่านร่างกฎหมายวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 20 ก.ค.เป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งต่อประเทศชาติในอนาคต
จ่อถวายฎีกาค้าน-ปลุก ปชช.ต้าน
“ขอแถลงคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวและเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนช่วยกันตรวจสอบและคัดค้าน ขอเรียกร้องให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.สั่งการให้ถอนร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ฉบับนี้ออกไปก่อน เพื่อรอให้สภาผู้แทนราษฎรมาพิจารณาต่อไป หาก สนช.ยังเดินหน้าโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของพี่น้องประชาชน จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญทูลเกล้าถวายฎีกาคัดค้านให้ถึงที่สุด อย่าคิดว่า สนช.มีอำนาจจะออกกฎหมายตามอำเภอใจคนมีอำนาจอย่างไรก็ได้ เชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก การจะเขียนกฎหมายให้ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูกแบบสมัยทักษิณหรือยิ่งลักษณ์ย่อมไม่ได้แน่นอน” นายวัชระกล่าว
“โหรวารินทร์” โต้ไม่มีทหารรับใช้
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่เรือนกิจกรรมภายในข่วงพระเจ้าล้านนา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช. แถลงข่าวกรณีหลายเว็บไซต์เสนอข่าวเรื่องการนำทหารมาใช้ในบ้าน เป็นเรื่องตั้งแต่ปี 2551 ว่าได้ขอกองทัพบกใช้สถานที่แห่งนี้พื้นที่ 30 ไร่สร้างพุทธสถาน เป็นข่วงพระเจ้าล้านนา ผู้ใหญ่สมัยนั้นอนุญาตเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยใช้ทุนส่วนตัวและของศิษยานุศิษย์ ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แล้วเสร็จปี 2556 มีพิธีมอบข่วงพระเจ้าล้านนาคืนให้กองทัพบก มีมูลนิธิตลอดจนพุทธศาสนิกชนร่วมกันดูแล มีตนเป็นประธานมูลนิธิ เจ้าของยังเป็นกองทัพบก จึงจัดทหารผลัดเปลี่ยนมาดูแลสถานที่ ถือเป็นสถานที่ราชการ ตนได้ใช้เงินมูลนิธิช่วยดูแลเป็นเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการกำลังพล ทหารคนไหนปลดประจำการจะมอบทุนให้ ไม่ทราบว่าอดีตทหารที่นำไปโพสต์มีจุดประสงค์อะไร มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ตนเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้นำกำลังมาใช้ส่วนตัวเลย และผู้โพสต์เป็นฝีมือกลุ่มเก่าที่ไม่หวังดีกับตน ทราบกันดีแล้วว่าเป็นใคร จะดำเนินการตามกฎหมายหรือไม่แล้วแต่นักกฎหมาย ที่ตรวจสอบอยู่ว่าจะเชื่อมโยงการเมือง และดิสเครดิตทหารนั้นไม่ทราบ ตนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ย้ำอีกโรดแม็ปเลือกตั้งไม่เคลื่อน
นายวารินทร์กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า สำหรับบ้านเมืองเราก็คงไปตามโรดแม็ปที่วางไว้ทุกอย่าง ที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ จะห่วงแต่เรื่องภัยธรรมชาติเท่านั้น ส่วนการเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแม็ป ไม่มีเปลี่ยนแปลง