เหตุการณ์ครั้งเก่าก่อนยังครุกรุ่นอยู่ในใจ ภาพแกนนำแนวร่วมขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีความโดดเด่นอยู่บนเวที คงหนีไม่พ้นนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคไทยรักไทย อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน (นปช.)  

ภายหลังการเกิดรัฐประหารในปี 2557 บทบาททางการเมืองฟากฝั่งประชาธิปไตย ของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เหมือนจะยุติลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครได้รับข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเขา มีเพียงกระแสข่าวลือเล็กๆ จากคนสนิทชิดใกล้ ถึงความคิดที่เปลี่ยนแปลง แตกต่างไปจากเดิม... "คุณแม่ซุ่น (แม่ของแรมโบ้) เขาแก่มากแล้ว ไม่ค่อยสบายด้วย พี่โบ้อยากจะใช้ชีวิตดูแลแม่เงียบๆ ส่วนเรื่องทางการเมืองรู้สึกเหนื่อยกับการต่อสู้ที่ยาวนาน ขอพักดูแลรักษาแม่ก่อนสักระยะ" ... นี่เป็นคำพูดจากน้องสาวคนสนิทแรมโบ้อีสาน พูดให้ฟังไว้ตั้งแต่ปลายปี 2557 

หลังจากนั้นในปีต่อๆ มา กระแสข่าวถูกปล่อยออกมาอีก ระบุชัด "แรมโบ้อีสาน" หนีซบอกรัฐบาลทหารเสียแล้ว จริงเท็จอย่างไรเจ้าตัวไม่เคยได้ออกมายืนยันให้ประชาชนได้รับทราบ กระทั่งมีรายชื่อ "นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์" หลุดรอดออกมา ระบุเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จนเพื่อนเก่าอย่าง "เต้น" ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยัน เป็นสิทธิส่วนบุคคล ห้ามกันไม่ได้ 'เต้น' เมิน 'แรมโบ้' มุดซบ 'พลังประชารัฐ' ชี้เป็นสิทธิห้ามไม่ได้

...

เปิดใจ "แรมโบ้อีสาน" ครั้งแรก หลังการรัฐประหารปี 2557  

ในวันนี้  "นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์" ยินดีเปิดใจให้สัมภาษณ์กับทางไทยรัฐออนไลน์เป็นที่แรก โดยได้พูดถึงอุดมการณ์ความคิดที่เปลี่ยนไปจากเดิม....."ถึงวันนี้พี่คิดว่าประเทศชาติเราบอบช้ำมามากพอแล้ว เราเดินมาถึงจุดที่ต้องช่วยให้ประเทศเดินหน้าไปอย่างมั่นคง สร้างความปรองดองให้คนทั้งประเทศ ขับเคลื่อนเพื่อส่วนรวม เพื่อประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมแท้จริง การที่พี่ตัดสินใจอยากจะเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (ยังไม่ได้เข้า) อย่าคิดว่าพี่แปรพรรค หรือหนีซบอกอีกฝั่งเลย ประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ตรงจุดที่พี่ยืนอยู่ พี่ก็ตั้งใจว่าจะทำเพื่อประชาชนให้มากไปกว่าเดิม"

ตั้งใจไว้ตั้งแต่หลังการรัฐประหารเลยรึเปล่าคะ ว่าต้องย้ายมาอยู่ที่นี่? ไม่ได้มีความคิด ความตั้งใจอะไรเลยในทีแรก รู้สึกอย่างเดียวว่าอยากจะรักษาแม่ให้หายดี แม่แก่มากแล้ว ป่วยหลายโรค แต่ยอมรับว่าตั้งใจที่จะเฟดตัวเองออกไปจากกระแสความวุ่นวายของบ้านเมือง ไม่ได้คิดว่าต้องอยู่ฝั่งนู้นฝั่งไหน พอเวลาผ่านไปก็เริ่มรู้สึกว่าเราเดินมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง 

ยอมรับได้มั้ยว่า ประชาชนยังลบบทบาทเก่าทางการเมืองของเราไม่ได้? ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่เคยคิดจะลบล้างอะไร และไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ผ่านมามันเป็นความผิดพลาด เพราะนั่นก็คือบทบาทความตั้งใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาธิปไตยไม่ต่างกัน และวันนี้ก็ยังมีความตั้งใจอยู่ไม่เปลี่ยน เพียงแค่ย้ายมาอยู่อีกจุดหนึ่ง มองอีกมุม มองให้มันกว้างมากกว่าเดิม พี่คิดว่าประเทศเราควรจะก้าวผ่านความแตกแยกทุกหมู่เหล่า ยุติการแบ่งฝักฝ่าย แล้วเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน 

การเปลี่ยนในครั้งนี้ เพราะต้องการอยากหาทางออกให้ประเทศ? นี่คือจุดประสงค์หลักเลยครับ หาทางออกให้ประเทศ เดินหน้าพัฒาไปทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ไม่ทะเลาะกันเอง ไม่มีปัญหากันเอง พี่คิดว่าเราต้องปรองดองได้แล้ว 

คนเสื้อแดง หรือเพื่อร่วมอุดมการณ์เก่าๆ อาจจะมองว่าเราไม่ซื่อสัตย์ เปลี่ยนใจง่าย? อย่างที่ยืนยันไปข้างต้นว่า ไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนใจที่จะทำเพื่อประชาชน วัตถุประสงค์เดิม เพียงแค่มองในมุมที่กว้างขึ้นแค่นั้นเอง ส่วนเพื่อนร่วมอุดมการณ์เก่าๆ ในวันที่อะไรๆ ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจเรา แต่เดี๋ยวเมื่อทุกๆ อย่างผ่านไป พี่คิดว่าเขาจะค่อยๆ เข้าใจไปเอง เราเปลี่ยนความรู้สึกใครไม่ได้ แต่เราพิสูจน์ตัวเองได้ 

การกลับมาครั้งนี้ ในสังกัดใหม่ ประชาชนจะได้เห็นอะไรในตัว "แรมโบ้อีสาน"? ตอนนี้ยังไม่เข้าสังกัดนะ แค่กำลังตัดสินใจ ส่วนที่ว่าประชาชนจะเห็นอะไรในตัวพี่นั่น มันก็อยู่ที่มุมมองของเขา ว่าเขาจะมองยังไง ตัวพี่ๆ ตั้งใจแต่จะทำสิ่งดีๆ รวมตัวขับเคลื่อนไปในทิศทางที่พัฒนา ทิศทางที่ก้าวหน้ามากขึ้น ยืนยันว่ายังเป็นแรมโบ้อีสาน คนเดิม ที่มีความจริงใจกับทุกๆ คน ถึงแม้วันนี้อาจจะไม่ถูกอกถูกใจใครบ้าง พี่ขอให้อนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกันครับ  

*** สัมภาษณ์กันพอหอมปาก-หอมคอ "แรมโบ้อีสาน" ขอตัวไปทำธุระต่อ พร้อมยืนยันหนักแน่นว่าเมื่ออะไรเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น พร้อมยินดีให้สัมภาษณ์กับทางทีมข่าว "ไทยรัฐออนไลน์" อีกครั้ง