หลังมีกระแสข่าวออกมาว่า อดีตนักร้องสาวค่ายดังย่านลาดพร้าว ไปทำศัลยกรรมหน้าอกที่เกาหลี แต่กลับกลายเป็นศัลยกรรมที่ผิดพลาดถึงขั้นเกือบตาย ซึ่งก็คือ เม จีระนันท์ กิจประสาน เจ้าของอดีตเพลงดัง "นอนไม่หลับ (ถ้าไม่กลับพร้อมเธอ)"

โดยก่อนหน้า บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้ต่อสายเพื่อสอบถามถึงเรื่องนี้ แต่เจ้าตัวยังไม่พร้อมที่จะพูด เนื่องจากสภาพจิตใจ และยังอยู่ในเรื่องของการดำเนินการทางกฎหมาย 

ล่าสุด บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้ต่อสายตรงถึง เม จีระนันท์ กิจประสาน อีกครั้ง โดยเธอพร้อมแล้วที่จะออกมาพูดในเรื่องนี้ เพื่อสอบถามถึงเรื่องนี้ ซึ่ง เม ก็ได้บอกว่า 

เป็นยังไงบ้างตอนนี้? “สภาพตอนนี้ก็คือหน้าอกของเมไม่เหมือนเดิมค่ะ ด้วยรูปทรง ขนาดด้วย และมีแผลที่เป็นแผลติดเชื้อขนาดใหญ่ ตรงรักแร้ค่ะ เป็นรอยยาวนูนแล้วบุ๋มเข้ามาอีกทีค่ะ

ซึ่งเป็นแผลที่เกิดจากการผ่าเพื่อเอาหนองออกค่ะ ผ่าที่เมืองไทย 3 ครั้งค่ะ อาการอย่างอื่นก็จะมีหน้าอกชาไปทั้งเต้านม คล้ายๆ กระแสไฟฟ้าช็อต ค่ะ

ซึ่งอาการนี้คุณหมอก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะหายรึเปล่า อาจจะเป็นตลอดชีวิต แต่ถ้าหายก็ต้องดูระยะยาวค่ะ คือ 12 ปี ถ้าหายก็คือหายค่ะ”

แล้วแขนเราตรงรักแร้สามารถยกแขนได้มั้ย? “ตอนที่เมออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ แขนตรงนี้ติด เป็นพังผืด เมยกแขนไม่ได้ค่ะ ต้องทำกายภาพอีก 5 เดือนค่ะ ซึ่งจะกลับมาใช้แขนได้ตามปกติประมาณเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาค่ะ”

ตอนนี้ดีขึ้น? “ใช่ค่ะ แต่ก็ไม่ 100% ค่ะ เหมือนมันลามไปถึงกล้ามเนื้อข้างในด้วยค่ะ”

...

ซิลิโคนอันนั้นก็เอาออกไปแล้ว? “เอาออกไปตั้งแต่วันที่หนองทะลักแล้วค่ะ คือเมไปทำหน้าอกวันที่ 21 ธ.ค. ปีที่แล้วค่ะ แล้วเค้าก็ให้เมถือถุงเลือดกลับเมืองไทยด้วย คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เค้าหลอกเรามาตลอดเลยค่ะ จริงๆ แล้วผ่าตัดที่เสร็จแล้ว

ตามที่เราคุยกันคือผ่า 21 แล้ววันที่ 28 ธ.ค. เมจะต้องถอดสายระบายเลือดออกแล้วกลับไทย แต่สายระบายเลือดอยู่กับเม 7 วันแล้ว แต่เค้าบอกว่า ยังถอดสายระบายเลือดให้เมไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เค้าจะให้เมกลับไทยพร้อมถุงระบายเลือด

เมก็ตกใจเพราะว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คุยไว้ อีกอย่างเลือดก็ออกทุกวัน เมก็ให้คุณแม่เป็นคนเทถุงระบายเลือดแล้วจดปริมาณเอาไว้ เราก็ผิดสังเกตบวกกับอาการของเมหลังผ่า วันที่ 2 มีอาการปวดแสบปวดร้อนเหมือนมีกรดอยู่ในหน้าอกค่ะ

คือลุกเดินแทบไม่ได้เลย จะเข้าห้องน้ำก็ต้องใช้กระโถน แล้วทางโรงพยาบาลให้เมพักอยู่ที่นั่น 2 วัน แล้วทางโรงแรมก็ให้เมไปพักที่โรงแรมข้างๆ ทีนี้เมไม่ไหว เพราะไม่สามารถลุกไปเข้าห้องน้ำได้ เค้าก็ให้อยู่แค่ 3 วัน

แล้วทางเอเจนท์ก็ให้เมไปพักที่โรงแรมต่อ ซึ่งส่วนใหญ่โรงพยาบาลกับเอเจนท์จะให้ลูกค้าไปพักตัวที่โรงแรมต่อ แล้วเมก็มีถุงระบายเลือดไปด้วย ตอนนั้นไม่รู้ว่า จริงๆ การที่มีถุงระบายเลือดเนี่ยเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับคุณหมอ ไม่สามารถออกไปไหนได้

แล้วการที่เทถุงระบายเลือด ต้องเป็นพยาบาลทำให้ เมก็ไม่เคยรู้เลย แล้วตอนที่เมจะทำหน้าอก เมก็หาข้อมูลแค่ว่า โรงพยาบาลไหนดีที่สุด คุณหมอฝีมือดีที่สุด ปลอดภัย ทีนี้โรงพยาบาลนี้ก็เป็นรายชื่อต้นๆ เลยที่เมนึกถึง

เพราะเคยเห็นรีวิวของเอเจนท์เองที่พาดาราคนดังไปทำกันเยอะมาก ก็ดูรีวิวของเค้า ซึ่งหลายคนก็สวย ก็เลยตัดสินใจติดต่อเค้าเป็นชื่อแรกเลยค่ะ แล้วโรงพยาบาลนี้ก็เป็นช้อยส์แรกที่เมนึกถึงเลย

พอวันที่ 28 ธ.ค. 60 คุณหมอให้เมกลับไทยได้ แล้วเค้าบอกว่าจะเป็นคนถอดสายระบายเลือดให้เมเอง โดยบินมาถอดให้ที่เมืองไทย ซึ่งตอนนั้นเค้าก็พยายามพูดโน้มน้าวให้เราเชื่อว่าไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไร

ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราก็สังเกตนะว่ามีอะไรผิดปกติกับเรามั้ย เพราะเราเจ็บมาก และเลือดก็ออกทั้งสองข้างเยอะมาก แล้วถ้ากลับเมืองไทยแล้วยังไงต่อ ใครจะถอดให้เรา ถอดได้เมื่อไหร่ แล้วคุณหมอเค้าก็บอกเมว่า เค้าจะบินมาถอดให้เราที่เมืองไทย เราก็อุ่นใจอย่างน้อยก็เป็นคุณหมอ แล้วเค้าก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรค่ะ

เค้าก็นัดเรามาคลินิกที่ทองหล่อ ซึ่งคลินิกนี้เป็นสาขาของโรงพยาบาลที่เกาหลีค่ะ เค้ามาเปิดที่ไทย เราก็ขึ้นเครื่องกลับไทยมาพร้อมถุงเลือด เค้าให้ใบรับรองแพทย์กับเรามาไปยื่นที่สายการบิน ตอนที่ขึ้นเครื่อง ถุงเลือดก็พองโป่งมากพร้อมที่จะแตกเพราะความดันมันสูง

มาถึงบ้านเมก็ยังนอนเจ็บหน้าอกอยู่ ซึ่งเค้าบอกว่า คนที่ทำหน้าอกจะเจ็บอยู่ 3-4 วันแรก คนอื่นก็เป็นปกติ ก็ขับรถได้ เดินไปไหนมาไหนได้ แต่กับเมไม่ใช่ค่ะ ขนาดเรานอนปกติ มีคนมาโดนตัวก็ยังเจ็บสะท้านข้างในหมดเลย แสบแบบเนื้อฉีก

แล้วเวลาเปลี่ยนผ้าข้างในมันจะมีน้ำหนองไหลอยู่ใต้ฐานราวนม เลยทำให้เราไม่อยากลุกไปไหน ต้องนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น แม่ต้องคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำเช็ดตัวให้ค่ะ ซึ่งเรารายงานให้โรงพยาบาลและเอเจนท์เราทราบตลอดค่ะ แต่ระหว่างนั้นคุณหมอก็ผ่าตัดบ้าง ไม่ว่างบ้าง คือทุกอย่างต้องรอคุณหมออย่างเดียว

ซึ่งพอติดต่อคุณหมอได้ เค้าก็บอกอย่างเดียวให้ไปที่คลินิกที่ทองหล่อค่ะ ก่อนหน้าที่บอกว่า คุณหมอจะบินมาถอดสายระบายให้ เค้าก็บินมาทำให้นะคะที่เมืองไทย แล้วก็เย็บปิดแผล เมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า คุณหมอชาวเกาหลี ไม่สามารถทำหัตถการอะไรในเมืองไทยได้ เพราะผิดกฎหมายค่ะ”

...

ที่บอกว่า ทำตาสองชั้นไปพร้อมกันด้วย มีปัญหามั้ย? “ตาก็ไม่เท่ากันค่ะ ทำกับคุณหมอคนเดียวกันค่ะ ตอนแรกบอกว่า ใช้เวลาทำพร้อมกันทั้งสองอย่าง 5 ชม. แต่เอาจริงๆ 7 ชม.ค่ะ พอออกมามีรอยเย็บที่ตาด้านซ้ายข้างบนที่ไม่เหมือนข้างขวา

ซึ่งเมก็ถามคุณหมอ เค้าก็บอกว่า ไม่เป็นอะไร คือไม่มีคำอธิบายอะไรมากค่ะ เค้าก็จะยิ้มๆ แล้วหัวเราะ หน้าตาเค้าใจดีมากค่ะ เราก็คิดว่าเป็นเทคนิคอะไรรึเปล่า ตอนนี้ก็เป็นแผลเป็นอยู่ค่ะ แล้วโชคดีมากที่เมไม่ได้ทำไปเยอะกว่านี้ เพราะตอนที่เมปรึกษาคุณหมอ เมปรึกษากับอีกคนนะคะ แล้วทำกับคุณหมออีกคน

คุณหมอที่เมปรึกษาเค้าแนะนำให้ทุบโหนก ให้ทำทั้งหน้า ทุบโหนกแก้มค่ะ แต่เมไม่อยากทำ เมอยากทำแค่หน้าอก เพราะจะได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ แต่เค้าก็พยายามโน้มน้าวเรา เราก็สนใจนะคะ

เพราะเค้าให้ดูรีวิวหลายๆ คน แต่เมกลัวไม่ไหว เพราะเราทำทั้งตาและหน้าอก เค้าบอกว่า ถ้าเราทำพร้อมกัน จะได้วางยาสลบทีเดียว ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แล้วก็จะมีส่วนลดให้ คือทำทีเดียวจะได้ลดมากกว่า

...

เมทำสองอย่างคือหน้าอกกับตา ทั้งหมด 8 แสนกว่าค่ะ ยังไม่รวมค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบินนะคะ แล้วก็การจ่ายเงินก็คือไม่มีใบเสร็จ ลูกค้าทุกคนไม่มีใบเสร็จเหมือนกันค่ะ เค้าบอกว่า ถ้าเมไม่เอาใบเสร็จจะลดอีก 10% เมก็ไปถามลูกค้าที่เคยทำทุกคน เค้าไม่มีใบเสร็จเหมือนกันค่ะ”

แล้วร่างกายของเมกลับมาเหมือนเดิมกี่เปอร์เซ็นแล้ว?

“ร่างกายบาดแผลมันแก้ไม่ได้ค่ะ อย่างรักแร้นี้คุณหมอที่โรงพยาบาลไทยเค้าบอกว่า อาจจะแก้ได้ในระยะยาว แต่ยังไงมันก็คงไม่เหมือนเดิม แต่ในส่วนหน้าอก เมก็คงไม่คิดจะทำอะไรอีก เพราะมันฝังใจค่ะ

หน้าอกเมมีร้อยแผลที่ใต้ราวนมด้วยค่ะ เพราะต้องเอาหนองออกทางใต้ราวนม เพราะเมไม่อยากให้ผ่าตรงใต้ราวนมเพราะกลัวเป็นคีรอยด์ เมก็เลยเลือกผ่าตรงรักแร้ กลายเป็นว่า เมก็มีแผลทั้งตรงรักแร้และนมเลย”

ตอนนี้ยังมีหนองอยู่มั้ย?

“ไม่มีแล้วค่ะ คือเมผ่าที่เมืองไทย 3 ครั้ง เพื่อที่จะเอาหนองออกให้หมด เพราะมันเยอะมากค่ะ เชื้อที่เค้าเพาะออกมาโอกาสรอดมันน้อยมาก แล้วคุณหมอเกาหลีเค้าไม่ยอมบอกเมเลยนะคะว่ามันติดเชื้อ พอเค้าถอดถึงระบายเลือดเสร็จ เค้าเริ่มสงสัยแล้วว่า เมติดเชื้อก็เลยให้ไปตรวจเลือดที่ รพ. ใกล้บ้าน

ผลเลือดออกมาเมติดเชื้อกับตับอักเสบ พอวันที่ 18 ม.ค. เมกำลังออกจากบ้าน หนองที่ใต้ราวนมตรงที่ปิดมันทะลักออกมาเยอะมาก แล้วเมก็ไข้ขึ้นสูง หัวนมบวมเป่งจนจะแตกเลยค่ะ ซึ่งทางคุณหมอก็ไม่ยอมบอกนะคะว่าติดเชื้อ แล้วที่เกาหลีเค้าจะให้เมบินไปรักษากับเค้าที่โน่น คุณแม่ก็ไปจัดการเรื่องพาสปอร์ต

...

แล้วเมก็นอนรอที่คลินิกที่ทองหล่อ แล้วก็มีคุณหมอที่คลินิกนั้นเดินเข้ามาแล้วบอกว่า เมไปไม่ได้นะ เพราะมีโอกาสเสี่ยงช็อกบนเครื่องบิน แล้วเค้าก็ไม่ยอมให้เมไป

นั่นคือครั้งแรกที่มีคนยอมพูดความจริงกับเมว่าคืออะไร แล้วเค้าก็บอกให้เมเอาซิลิโคนออกโดยเร็วที่สุด

ตอนนั้นชีพจรของเมเต้นเร็วมาก ความดันตก ไข้ขึ้นสูง อยู่ในสภาวะช็อกพร้อมจะตายได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณแม่เค้าก็ไม่รู้ เค้าไปจัดการเรื่องพาสปอร์ต ต้องรอคุณแม่มาเซ็นเรื่องผ่าตัด

มันมีประเด็นตรงที่ว่า ตอนเอาออก ซิลิโคนที่ใช้ใส่ให้เมเนี่ย เมก็สงสัย เพราะปกติแล้วการทำหน้าอกอ่ะค่ะ ที่เราทำได้มาตรฐานโรงพยาบาล เค้าจะบอกว่าเป็นยี่ห้ออะไร เค้าจะมีซีเรียลนัมเบอร์ให้ ซึ่งที่นี่ไม่มีให้เมเลย เมไม่รู้เลยว่าเป็นยี่ห้ออะไร

เมถามแค่เรื่องของทรง ซึ่งเอเจนท์ก็ไม่เคยให้คำแนะนำเมตรงนี้เลยค่ะ แล้วตอนที่เอาออกเมเพิ่งมาสงสัยตอนนี้เองว่ามันคือซิลิโคนอะไร มีคนสงสัยว่า ที่โรงพยาบาลที่เกาหลีเค้าอาจจะเซฟคอส”

ตอนนี้จะเอาเรื่องยังไงกับเอเจนท์มั้ย เพราะเป็นคนที่แนะนำเรา?

“ตอนนี้ให้ทางทนายดูแลเรื่องนี้อยู่ค่ะ จะดำเนินการฟ้องร้องมั้ย ต้องพิจารณาอีกที”

มีคนโดนแบบเราเยอะมาก?​

“ที่โรงพยาบาลที่เกาหลี มีเคสหลุดกันเยอะนะคะ แต่ว่าการที่เค้าไม่ออกมาพูดกัน เพราะพอมีเคสพังเค้าจะให้กลับไปแก้หรือจ่ายเงิน แล้วมีการเซ็นค่ะ”

ตอนนี้เรื่องเลือดเราดีขึ้นรึยัง?

“ก็ต้องไปฟอลโล่วอัพเรื่อยๆ ค่ะ เพราะคุณหมอบอกว่า เชื้อตัวนี้มันซุกซ่อนอยู่ในร่างกาย แต่ตอนนี้ถ้าเมมีปัญหาหรือเป็นหวัดอะไรเล็กน้อยต้องรีบไปหา”

ตอนนี้สภาพจิตใจเราดีขึ้นรึยัง?

“มันเปลี่ยนไปค่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องกว่าเมจะทำใจได้ก็หลายเดือนอยู่เนอะ ตอนแรกที่เมยังอยู่ที่โรงพยาบาล มันมีความพยายามของโรงพยาบาลที่นั่นให้ปิดข่าวเรื่องนี้ คือเค้าให้คนสั่งให้ปิดข่าว ซึ่งตอนนั้นเมเองก็ไม่ได้คิดอะไร

เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้หลุดออกไปอยู่แล้ว แต่วันนี้ที่เมออกมาพูดก็ลำบากใจเหมือนกัน ไม่อยากออกมาพูดเลย แต่ว่าเมทำทุกอย่างจนสุดทางแล้ว จนรู้สึกว่ามีทางเลือก 2 ทาง

ถ้าเมไม่พูด เมก็ต้องถูกโรงพยาบาลกับเอเจนท์เค้าลอยแพอย่างตอนนี้ แล้วคนที่ไม่รู้จำนวนมาก เค้าก็ดูจากรีวิว

ถ้าหากมีปัญหาเค้าก็จะทำแบบที่ทำกับเมกับคนอื่นๆ ก็เลยจะต้องออกมาพูด แต่ก็รู้แหละว่าจะต้องถูกว่า ถูกอะไรอื่นๆ แต่ทุกครั้งที่เมเห็นรูปอะไรของตัวเอง มันก็เจ็บค่ะ เมก็ร้องไห้ทุกครั้งค่ะ”

ที่เรารักษาตัวที่เมืองไทย หมดไปเท่าไหร่?

“อันนี้ทางโรงพยาบาลที่เกาหลีเค้าจ่ายค่ารักษาให้เมที่เมืองไทยค่ะ ที่ไปรักษาที่โรงพยาบาลธนบุรี กับที่บำรุงราษฎร์ค่ะ แต่ว่าในเรื่องของค่าทำหน้าอกหรือเงินชดเชย เค้าไม่ได้ให้ค่ะ

เมไม่ได้คืนอะไรเลย ที่เค้าจ่ายให้เราตรงนี้มันเหมือนเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพื่อรักษาชื่อเสียงไว้ พอเมรอดเค้าก็ถีบหัวเลย ไม่สนใจ ไม่แคร์อะไรเลย แม้กระทั่งทนายของเมยื่นเอกสารไปเพื่อมาเคลียร์ เค้าก็ไม่ตอบค่ะ ไม่สนใจ”

“ทุกครั้งที่เมใส่เสื้อผ้า อาบน้ำ เมใส่เสื้อผ้าเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้นะคะ ทั้งเสื้อแขนกุด เสื้อรัดรูป แม้กระทั่งเสื้อยืดธรรมดาก็ใส่ไม่ได้ เพราะมันไม่มีอะไร ชุดชั้นในก็ใส่แบบมีโครงไม่ได้ มันเจ็บ ต้องใส่สปอร์ตบราแทนค่ะ

คือเมื่อก่อนเราก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ผู้หญิงก็อยากมีเนอะ แล้ววันหนึ่งเราไปทำ มันแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก มันผิดรูปทรงไปอีก ทั้งขนาด ทั้งทรงค่ะ ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตมันก็ไม่ปกติมากเท่าไหร่นะคะ มีเจ็บ อย่างตอนทำงานก็มีปวดๆ เจ็บๆ ก็ต้องหยุดทำ ออกกำลังกายไม่ได้เลยค่ะ”

“เมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายค่ะ คือถ้าเมทำแล้วโชคดี มันไม่มีปัญหาอะไร มันก็คงเหมือนคนอื่นๆ แต่ของเมเค้าน่าจะไปตัดโดนเส้นเลือดใหญ่อ่ะค่ะ บวกกับห้องผ่าตัดไม่สะอาดด้วย

เพราะเชื้อตัวนี้เป็นเชื้อที่พบได้ในสถานพยาบาลและโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นเมไม่ได้ติดเชื้อจากข้างนอก แล้วมันไม่ใครเค้าทำกันที่ให้หิ้วถุงระบายเลือดหิ้วกลับไทยแบบนี้ค่ะ”

อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจทำกับที่นี้?

“เมปรึกษากับเอเจนท์มาตั้งแต่เดือน พ.ย. นะคะ เราก็คิดว่าเราอยากทำๆ แล้วเรามาเจอ มาคุยกับเค้า เค้าก็รีบให้เราโอนเงินปิดการขายค่ะ เค้าจะบอกว่า หมอไม่ค่อยว่าง แล้วตอนที่เมไปปรึกษาครั้งแรก เค้าสามารถทำให้เมวางเงินมัดจำได้เลยค่ะ

พอคุยกันเสร็จ เค้าบอกว่า คุณหมอมือหนึ่งงานเยอะ รอคิวนานหลายเดือน พอเมวางเงินมัดจำเสร็จ เค้าก็ไปคุยประชุมกัน และมาบอกว่า ได้คิวพรุ่งนี้เลย”

รวมทั้งหมดหมดไปกี่บาท?

“ถ้ารวมทั้งหมด รวมตั๋วเครื่องบินก็ถึงล้านค่ะ”

นอกจากนี้ ตัวเมเองก็ยังได้โพสต์คลิปลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นคลิปของอาการของเธอ ณ ตอนนั้น ที่ต้องพกสายระบายเลือดกลับเมืองไทย และเลือดติดเชื้อ โอกาสรอดเพียงแค่ 10% เท่านั้น.