2-3 ถึงเวลาที่จะต้องทบทวนวันนี้มีข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่ส่วนใหญ่ผมก็อ่านจากไทยรัฐนี่แหละครับ ว่าประเทศไทยของเรามีการนำเข้าขยะอุตสาหกรรมเข้ามาเยอะเหลือเกิน

ขนมากันเป็นหลายๆร้อยตู้คอนเทนเนอร์จนล้นท่าเรือของเราไปหมด

แม้ในการนำเข้าจะเป็นเจตนาที่ดี คือจะเอามารีไซเคิล หรือเอามาแกะชิ้นส่วนไปใช้ใหม่ หรือประกอบขึ้นใหม่ เสร็จแล้วก็นำไปขายเป็นของใหม่ทั้งในบ้านเราเองและบางอย่างก็ส่งออกนอก

แต่ในขบวนการรีไซเคิลนั้น บางชิ้นส่วนไม่สามารถจะใช้ใหม่ได้ และวัสดุหรือสารเคมีบางอย่างที่มากับขยะอุตสาหกรรมก็อาจมีพิษมีภัย หากนำไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ถูกวิธี ก็อาจจะกลายเป็นการสร้างปัญหามลภาวะให้แก่ประเทศไทยของเราในระยะต่อๆไป

ซึ่งในทางปฏิบัติก็พบว่า จากโรงงานที่ขออนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการในเรื่องนี้มีเพียงไม่กี่โรงงานเท่านั้น หรืออาจจะโรงงานเดียวด้วยซ้ำไป จากข่าวที่ผมอ่านพบที่มีความสามารถและมีเทคโนโลยีที่จะจัดการได้อย่างเหมาะสม

เป็นที่มาของการจับกุมโรงงานที่ผิดกฎหมาย และเป็นที่มาของการร้องเรียน จนในที่สุดกระทรวงอุตสาหกรรมต้องมีประกาศให้ชะลอการพิจารณาอนุญาตให้นำเข้าขยะอุตสาหกรรมเหล่านี้ไว้ก่อน

รวมทั้งจะมีการผลักดันให้ส่งกลับคืนไปยังจุดเดิม แต่ยังรอค้างเติ่งอยู่ที่ท่าเรือในขณะนี้

ต่อมาเมื่อวันวานนี้เอง กลับมีข่าวสืบเนื่องในทำนองว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการจัดการขยะ อิเล็กทรอนิกส์ หรือขยะอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ เพื่อให้การบริหารจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเกิดขึ้นจากขยะประเภทนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ฟังคล้ายๆกับว่า คณะอนุกรรมการชุดนี้ยังเห็นดีเห็นงามกับการสั่งขยะอุตสาหกรรมเข้ามารีไซเคิลอยู่ เพราะถ้าจัดการให้ดีๆ ก็จะคุ้มค่าและสามารถนำชิ้นส่วนต่างๆไปประกอบขึ้นใหม่ กลายเป็นสินค้าใหม่นำมาใช้ใหม่ได้อีก

...

รวมทั้งขยะพลาสติกสะอาดก็จะนำเข้ามาเพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลได้ในราคาถูกกว่าเศษพลาสติกที่จัดหาได้ในประเทศไทย ดังรายละเอียดที่ไทยรัฐฉบับเมื่อวานลงไว้

ผมไม่เห็นด้วยครับและไม่อยากให้ประเทศไทยของเราต้องมาทำมาหากินกับการนำขยะอุตสาหกรรมต่างๆมารีไซเคิลอย่างที่เป็นข่าวนี้เลย

หากจะมีการรีไซเคิลบรรดาสินค้าเก่าๆ ที่มีอยู่แล้วในบ้านเรา เพื่อไม่ให้มันเป็นขยะที่ถาวร หรือกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆยังพอจะ เห็นด้วยได้ในระดับหนึ่ง

แต่ถึงขนาดว่าจะสั่งขยะจากบ้านอื่นเมืองอื่นมารีไซเคิลด้วย ผมว่า ไม่เหมาะสมเท่าไรนัก

เพราะในที่สุดเราจะกลายเป็นประเทศรีไซเคิลขยะให้คนอื่นไปเสีย แม้จะได้เงินได้ทองจากการขายสินค้ารีไซเคิลบ้าง แต่จะได้คุ้มเสียหรือเปล่าก็ไม่รู้

เนื่องจากการปฏิบัติตามกฎหมายในบ้านเรามักหย่อนยาน เจ้าหน้าที่ไม่เอาจริง เดี๋ยวก็จะขยิบหูขยิบตา ไม่ควบคุมการบูรณาการอย่างเข้มข้นตามกฎตามเกณฑ์จะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมหนักขึ้นไปเสียอีก

ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้กระทรวงอุตสาหกรรมตัดสินใจฟันธงว่า เราจะไม่ทำเรื่องนี้ ไม่ส่งเสริมเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดไปเสียเลยดีกว่า

อย่าไปบูรณาการอะไรให้เสียเวลาต่อไปเลย เพราะไม่มีทางจะควบคุมได้อย่างแน่นอน

ที่สำคัญ ไหนๆเราก็จะไป 4.0 กันแล้ว ผมก็อยากให้ไป 4.0 ที่ดูแล้วมีอะไรใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างที่ฝันกันไว้มากกว่า โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมนี่แหละ ฝันไว้เยอะเลย เกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0

แต่โครงการหรือนโยบายรีไซเคิลขยะเนี่ย ต่อให้บูรณาการขนาดไหน ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นนวัตกรรมที่ควรภาคภูมิใจ และไม่น่าจะใช่การเดินไป 4.0 อย่างที่รัฐบาลนี้อยากเห็นอย่างแน่นอน

ผมมิได้ดูถูกดูหมิ่นอาชีพกำจัดขยะนะครับ ไม่ว่าขยะทั่วไป หรือขยะอุตสาหกรรมก็ตาม

เพียงแต่ผมไม่อยากเห็นประเทศไทยของเราได้ชื่อว่าเป็นเมืองขจัดขยะ (ให้คนอื่น) เท่านั้นแหละครับ.

“ซูม”