พ่อร้องพาลูกชายวัย 17 ไปคลินิกหมอฟัน ถือวิสาสะจับถอนฟันทั้งที่ยังไม่ยินยอม ปรากฏว่าถอนผิดซี่ ไปถอนเอาฟันดี รากฟันก็ยังอยู่ มารู้ทีหลังคนถอนเป็นแค่ทันตาภิบาล แถมยังเรียนไม่จบ 

วันที่ 11 พ.ค. “ทีมข่าวไทยรัฐ” ได้รับการร้องเรียนจากนายนพอนันต์ พูลทรัพย์ ว่า ลูกชายวัย 17 ปี มีอาการปวดฟัน จึงพาไปหาทันตแพทย์ที่ คลินิกแห่งหนึ่งย่านลำลูกกา คลอง 8 จ.ปทุมธานี แต่หมอถือวิสาสะ ถอนฟันลูกชายโดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง แต่ที่ตะลึงแบบสุดๆ เมื่อมาทราบภายหลังว่า หมอคนที่ถอนฟันนั้น ไม่ได้เป็นหมอฟันจริงๆ และไม่มีใบอนุญาตการทำงาน หรือใบรับรองใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่ทันตาภิบาลเท่านั้น

โดยนายนพอนันต์ เล่ารายละเอียดให้ฟัง ว่า เมื่อประมาณวันที่ 25 เม.ย. ลูกชายมีอาการปวดฟันอย่างหนัก จึงได้พาลูกชายไปปรึกษาหมอที่คลินิกแห่งนี้ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ปรากฏว่า พอไปถึง หมอให้ลูกชายอ้าปาก นำกระจกมาส่อง แล้วใช้อุปกรณ์เคาะที่ฟัน จากนั้นก็บอกว่า อาการปวดฟันดังกล่าวเกิดขึ้นจาก ฟันคุด จะต้องผ่าหรือถอนออก แต่ทางคุณหมอไม่ได้ถามคุณพ่อก่อนว่า ต้องการจะถอนฟันหรือไม่ ซึ่งในระหว่างที่ตนกำลังคุยโทรศัพท์ หมอก็ได้ฉีดยาชาพร้อมกับใช้คีมพยายามดึงฟันของลูกชายออก ตอนนั้นตนเองซึ่งเป็นพ่อ ไม่สามารถห้ามอะไรได้ จึงจำใจต้องทนดูหมอและผู้ช่วย พยายามถอนฟันของลูกชายออกด้วยความเจ็บปวดนานกว่าครึ่งชั่วโมง

...

"ตอนแรกตั้งใจว่าแค่มาปรึกษา เพื่อเตรียมไปรักษาที่โรงพยาบาลในวันต่อไป แต่วันนั้นหมอจับฉีดยาแล้วถอนเลย แต่พอผ่านไปกว่า 2 สัปดาห์ อาการของลูกไม่ดีขึ้น และยังปวดเหมือนเดิม ผมก็เริ่มไม่สบายใจ จึงพาลูกชายไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และผลจากการเอกซเรย์ หมอก็วินิจฉัยว่า ที่ลูกชายไม่หายปวดฟัน เพราะได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง และฟันที่ถูกถอนไปนั้น เป็นฟันดี ไม่ได้เกี่ยวกับฟันคุดแต่อย่าง มิหนำซ้ำฟันที่ถูกถอน รากฟันก็ยังไม่ได้ถูกดึงออกไปด้วย" นายนพอนันต์ กล่าว

นายนพอนันต์ กล่าวอีกว่า ตนเองตกใจมาก เมื่อมารู้ทีหลังว่าลูกถูกถอนฟันไปผิดซี่ แล้วต้องเสียฟันดีๆ ไปอย่างนั้นหรือ และข้องใจ ทำไม หมอในคลินิกดังกล่าวจึงทำเช่นนี้ เมื่อนำฟิล์มเอกซ์เรย์ฟันลูกชายมาดู ก็พบว่าในเครื่องหมายที่ทีมข่าวทำไว้ให้ นั่นคือฟันซี่ที่ถูกถอนไป แต่ถูกถอนไปเฉพาะด้านบน ส่วนรากฟันยังคงฝังอยู่กับเหงือกและไม่ได้ถูกดึงออกไปด้วย ขณะที่ ฟันซี่ถัดมา ที่เห็นกลมๆ นั้น คือ ฟันคุดที่เป็นสาเหตุของอาการปวดฟัน

นายนพอนันต์ กล่าวต่อไปว่า วันนั้นตนยืนยันตั้งแต่แรก ไม่ได้ตั้งใจไปถอนฟันในคลินิกแห่งนี้ แค่อยากจะไปปรึกษา เพราะเมื่อเข้าไปแล้ว เห็นบรรยากาศภายในคลินิกก็เริ่มไม่มั่นใจ เพราะสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นส้มตำที่ลอยคละคลุ้งเต็มห้องไปหมด ซึ่งจริงๆ แล้ว บรรยากาศแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคลินิกทำฟัน นอกจากนี้ อุปกรณ์ทันตกรรมต่างๆ ก็ดูไม่สะอาดเท่าที่ควร เครื่องเอกซ์เรย์ก่อนจะถอนฟันก็ไม่มี และที่สำคัญ ตัวคุณหมอที่จะถอนฟัน ก็ไม่ได้ดูมีความน่าเชื่อถือ แต่งกายไม่ได้เหมือนหมอทั่วไป ที่ต้องรักษาความสะอาดอย่างสูงสุด

"หลังจากนั้นผมพาลูกชายกลับไปที่คลินิกที่เกิดเรื่องอีกครั้ง ไปเจอกับหมอคนเดิมที่ถอนฟันให้ลูกชาย และถามหาความกระจ่างว่า แท้จริงแล้ว หญิงคนดังกล่าวเป็นหมอจริงหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า จริงๆ แล้วหญิงคนที่อ้างตัวว่าเป็นหมอฟันที่ถอนฟันให้ลูกชายนั้น ไม่ได้เป็นหมอไม่ได้จบทันตแพทย์ แต่เป็นเพียงทันตาภิบาล ซึ่งยังเรียนไม่จบด้วย แล้วมารักษาคนไข้จริงๆ ในคลินิกแบบนี้ได้ด้วยหรือ” นายนพอนันต์ กล่าว

สำหรับ “ทันตาภิบาล” เท่าที่ไปตรวจสอบมา พบว่ามีหน้าที่ดูแลทันตสุขภาพของเด็กวัยก่อนเรียน อายุไม่เกิน 14 ปี สิ่งที่ทันตาภิบาลสามารถทำได้คร่าวๆ คือ ทายาเพื่อป้องกันฟันผุ เคลือบหลุมร่องฟัน อุดฟัน และถอนฟันที่ขึ้นปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนโดยใช้ยาชาเฉพาะตำแหน่ง ซึ่งกรณีนี้คาดว่าน่าจะสามารถทำได้ ถ้าต้องถอนฟันเด็ก แต่ประเด็นคือ หญิงในคลิปบอกเองว่า “ยังเรียนไม่จบ” จึงเป็นคำถามที่ตามมา ว่าแล้วแบบนี้ มารักษาคนไข้ในคลินิกได้อย่างไร

...

ต่อมา “ทีมข่าวไทยรัฐ” พร้อมนายนพอนันต์ เดินทางไปที่คลินิกจุดเกิดเหตุ พบว่าคลินิกยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ซึ่งคลินิกแห่งนี้มีใบอนุญาตประกอบการที่ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ ก็ได้พบกับผู้จัดการคลินิก แต่ทางคลินิกไม่อนุญาตให้บันทึกภาพระหว่างพูดคุยกัน โดยผู้จัดการคลินิก ยอมรับว่า เพิ่งทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็พร้อมที่จะรับผิดชอบ ชดเชยค่าเสียหายทั้งหมดที่สามารถทำได้ ส่วนกรณีหมอฟันที่คาดว่าจะเป็นหมอปลอมนั้น ทางคลินิกก็ยอมรับว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นหมอประจำ แต่เป็นคนที่ "ถูกส่งมาแทนคุณหมอประจำคลินิกอีกทีหนึ่ง” ซึ่งทางคลินิกรู้จักเพียงแค่ชื่อเล่น ไม่รู้จักว่าหมอเป็นใครมาจากไหน หรือจะติดต่อได้อย่างไร และหลังจากเกิดปัญหาก็ยังคงติดต่อไม่ได้ ทางคลินิกระบุมาแบบนี้

ด้านนายนพอนันต์ ก็ยืนยันกับทางคลินิกว่า สิ่งที่ต้องการมากที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องค่าเสียหาย แต่ต้องการความรับผิดชอบทางสังคมจากคลินิกแห่งนี้ ที่นำคนซึ่งไม่ใช่ ทันตแพทย์ มาแอบอ้างรักษาคนไข้ได้อย่างไร เพราะหากเกิดความสูญเสียมากกว่านี้ ทางคลินิกจะรับผิดชอบได้อย่างไร พร้อมทั้งอยากให้คลินิกแสดงความรับผิดชอบด้วยการนำผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นหมอฟันคนดังกล่าว มาดำเนินคดี และฝากถามไปถึงเรื่องของจรรยาบรรณแพทย์ ของหมอประจำคลินิกที่ส่งคนอื่นที่ไม่ใช่หมอมาทำงานแทน เพื่อให้เรื่องเป็นอุทาหรณ์ให้แก่สังคมต่อไป

...