ฟันวินัยร้ายแรงอดีตปลัด-รองปลัด พม.พร้อมพวก 11 คน โกงเงินคนจน ทุจริตเงินสงเคราะห์เกือบทั้งประเทศ ให้เวลา 15 วัน แก้ข้อกล่าวหา หากฟังไม่ขึ้น ไม่ให้ออกก็ไล่ออก
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการสามัญ (อ.ก.พ.) ประจำกระทรวงพม. ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาผลสอบวินัยร้ายแรง ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น และหัวหน้าฝ่ายจัดสวัสดิการสังคม ศูนย์ฯ ขอนแก่น ตามที่คณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้พิจารณาโทษไล่ออกข้าราชการทั้ง 2 รายดังกล่าว ที่ประชุมได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ถึงบทลงโทษดังกล่าว มีการซักถามประเด็นต่างๆ ด้วยเหตุและผล เพราะถือเป็นโทษร้ายแรงใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จนมีมติเห็นว่า ผลการพิจารณามีมูล ที่จะลงโทษทั้ง 2 คน แต่เพื่อความรอบคอบจะพิจารณาสำนวนก่อนจะที่มีคำสั่งลงโทษอย่างเป็นทางการภายในสัปดาห์หน้า คือ ไล่ออก จากราชการทั้ง 2 ราย
ส่วนการสอบวินัยร้ายแรง ที่ศูนย์ฯ เชียงใหม่และที่อื่นๆ อยู่ระหว่างทยอยดำเนินการ เนื่องจากคณะกรรมการได้ตั้งทีละชุดในการพิจารณา ที่ประชุมได้ซักถามถึงการดำเนินการของคณะกรรมการ ทำไมต้องใช้ขั้นตอนมาก กรรมการได้ชี้แจงว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้ ป.ป.ท. เก็บหลักฐานทั้งหมดไว้ มีเพียงหลักฐานที่เป็นเอกสาร จึงต้องลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านที่รับเงินสงเคราะห์รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงต้องใช้ระยะเวลา อย่างกรณีศูนย์ฯขอนแก่น มีคนรับเงินสงเคราะห์ 2,000 กว่าคน เพราะฉะนั้น การลงพื้นที่เก็บข้อมูลต้องใช้เวลานาน ขณะที่กรรมการของกระทรวงและกรมมีไม่มาก อย่างไรก็ตาม จากนี้ได้ขอสำเนาเอกสารข้อมูลจาก ป.ป.ท.เพื่อจะประสานการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
...
พล.อ.อนันตพร กล่าวถึงผลสอบสวนวินัยร้ายแรง นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดพม. และนายณรงค์ คงคำ อดีตรองปลัดพม. ว่า นายสุภัทร จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ได้รายงานความก้าวหน้าการสอบสวนด้วยวาจามายังตนแล้ว เมื่อเย็นวันที่ 3 พ.ค. สรุปผลสอบมีมูลที่จะแจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำผิดร้ายแรง ทั้งหมด 11 ราย ที่เหลือ 15 ราย กันไว้เป็นพยาน ภายใน 1-2 วันนี้ คณะกรรมการคงรายงานตนมาเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งทยอยแจ้งข้อกล่าวหาถึงผู้ถูกกล่าวหาทุกคน คาดว่าสัปดาห์หน้าจะทราบว่า ใครเป็นใคร ซึ่งในจำนวน 11 ราย ก็เท่าที่สื่อทราบ ก็มีอดีตปลัดและรองปลัดพม.ตามที่ปรากฏข่าว
หลังจากนี้ตามระเบียบ ก.พ.กำหนดระยะเวลา 15 วัน ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้นำหลักฐานมาหักล้างความผิด จากนั้นคณะกรรมการจะพิจารณาข้อแก้ต่างว่าฟังขึ้นหรือไม่ขึ้น หากฟังขึ้นก็ทบทวน ฟังไม่ขึ้นก็ลงโทษ คาดว่าสิ้นเดือนพ.ค.นี้จะทราบผล โดยโทษวินัยร้ายแรง คือ ไม่ให้ออก ก็ไล่ออก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ใน 11 รายชื่อถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทุจริตเงินสงเคราะห์เกือบทั้งประเทศหรือไม่นั้น พล.อ.อนันตพร กล่าวว่า ก็ถือว่าใช่ มั่นใจว่า เป็นผู้ดำเนินการหลัก ซึ่งคณะกรรมการได้มีการสอบปากคำทั้งหมด 26 ราย ที่เหลือ 15 ราย จะกันไว้เป็นพยาน แต่จะต้องถูกลงโทษตามเหตุการณ์ แต่อาจจะเบาหน่อย เพราะถือว่า ได้ช่วยเหลือราชการ ส่วนการดำเนินการแก้ไขการจ่ายเงินสงเคราะห์ ต่อจากนี้ จะมีความรอบคอบรัดกุมใน 3 ตอน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จะมีแผนดำเนินการที่ชัดเจน โดยการจัดสรรเงินจะถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงผ่านระบบบัญชีธนาคาร ไม่ผ่านตัวบุคคล มีคณะกรรมการระดับจังหวัดพิจารณาตามฐานข้อมูลและเหตุผล ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ทั้งยังต้องมีการติดตามตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อปิดช่องไม่ให้เกิดการทุจริต