กรณีการทุจริตเงินทอนวัด ยังมีวิวาทะกันเป็นระยะและต่อเนื่อง มีทั้งฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มีทั้งฝ่ายคัดค้าน บางกลุ่มยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ให้ปกป้องข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต บางกลุ่มกล่าวหา ผอ.พศ.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ปลดจากตำแหน่งภายใน 1 เดือน
เมื่อพูดถึง “การทุจริตเงินทอนวัด” คนส่วนใหญ่อาจเข้าใจว่ามีพระเป็นตัวการสำคัญ เพราะเป็น “เงินวัด” แต่ต้นตอของการทุจริตโกงกินเรื่องนี้ มีข้าราชการระดับสูงของ พศ.เป็นตัวการ เสนอเงินอุดหนุนให้วัดในด้านต่างๆ แต่กระซิบบอกเจ้าอาวาสว่าขอเงินทอนราว 80% เช่น ให้งบ 10 ล้านบาท ขอคืน 8 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะเอาไปช่วยวัดอื่นๆ
พระส่วนใหญ่อาจไม่รู้ไม่เห็น เจ้าหน้าที่เอาเงินทอนไปให้วัดอื่นๆจริงหรือไม่ แต่อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าอาวาสบางวัดถูกกล่าวหาร่วมทุจริต ตัวอย่างของจริงเกิดขึ้นที่วัดศรีนคราราม อุดรธานี พระโสภณพุทธิธาดา เจ้าอาวาสและรองเจ้าคณะจังหวัด เล่าว่า เมื่อ 5–6 ปีก่อน พศ.โอนเงินให้ 10 ล้านบาท โดยที่ทางวัดไม่ได้ขอ จึงส่งคืน พศ.หมดทั้ง 10 ล้าน
หลังจากคืนเงินหมดแล้ว นึกว่าเรื่องจบแล้ว แต่มาถึงปีนี้ วัดศรีนครารามกลายเป็น 1 ใน 7 วัด ที่ พศ.แจ้งความเอาผิดรุ่นล่าสุด การกล่าวหาพระภิกษุกระทำผิดอาญาร้ายแรง ฐานยักยอกทรัพย์หรือลักทรัพย์ และอ้างว่าอาจเข้าข่ายปาราชิก กระทบต่อศรัทธาประชาชนรุนแรง โดยเฉพาะถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นระดับกรรมการ มส. จึงต้องระมัดระวังยิ่ง
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบงบประมาณ 2556–2557 ของวัดที่เป็นข่าว เขียนไว้แบบกว้างๆเพื่อให้บริหารจัดการงบได้สะดวก หากนำเงินไปใช้ในกิจการพระพุทธศาสนาของวัด ไม่ได้เข้ากระเป๋าใคร ไม่เข้าข่ายทุจริต การผันงบของหน่วยราชการไปใช้ในอีกโครงการหนึ่ง เป็นวิธีการที่หน่วยราชการปฏิบัติ
...
สมควรหรือไม่ที่ ผอ.พศ.จะนำเอาเรื่องที่พระเถระผู้ใหญ่ถูกกล่าวหากระทำผิดทั้งกฎหมายและพระวินัยร้ายแรง มาเปิดเผยต่อสาธารณชน จนเป็นข่าวโด่งดังทั่วประเทศ ทั้งๆที่เป็นเพียงการกล่าวหา แม้แต่พระที่ถูกกล่าวหายังไม่มีโอกาสชี้แจง ตามกฎหมายยังถือว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จนกว่าศาลจะพิพากษาถึงที่สุด หรือองค์กรสงฆ์จะได้ตรวจสอบทางพระวินัย
บุคคลที่จะดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพระธรรมวินัยและกฎหมายคณะสงฆ์ ต้องรู้ว่าบทบาทของ พศ.ที่สำคัญยิ่ง คือการเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีหน้าที่สำคัญคือสนองงานของคณะสงฆ์ ไม่ควรนำแนว ความคิดแบบตำรวจมาบริหาร พศ. และกิจการคณะสงฆ์ เพราะตำรวจชอบจับกุมดำเนินคดีผู้ที่สงสัยว่าทำผิด.