วอนช่วยหนุ่มอุดรธานี ไปทำงานไต้หวัน ต้องป่วยหนักโคม่านอนไม่รู้สึกตัว หลังกินก้อยหอย เมียและญาติหวังได้กลับบ้านเกิดดูแลกันครั้งสุดท้าย มีโอกาสรอดเป็น 0
นายประยงค์ ขุริดี อายุ 59 ปี พ่อของนายฉัตรชัย ขุริดี คนงานไทยในไต้หวันที่ป่วยหนัก จากการกินก้อยหอย กล่าวว่า ตนมีอาชีพรับจ้าง มีลูกชาย 3 คน โดยนายฉัตรชัยเป็นคนที่ 2 เพิ่งแต่งงานได้ 4 ปีแต่ยังไม่มีลูกด้วยกัน ซึ่งที่บ้านได้ยืมโฉนดที่นา 30 ไร่ จากยายไปจำนองได้เงิน 85,000 บาท เพื่อให้นายฉัตรชัยไปทำงานที่ไต้หวัน ซึ่งไปเมื่อ พ.ย. 2560 ซึ่งจะได้เงินเดือน 17,000 บาท หากมีงานโอทีจะได้ 25,000 บาท และเพิ่งส่งเงินมาได้ไม่กี่เดือน ก็มาป่วยหนัก
นางสาวอภิญญา เยาวลักษณ์ อายุ 39 ปี ภรรยานายฉัตรชัย เล่าว่า ตนจะติดต่อพูดคุยกับสามีทางไลน์ประจำทุกวัน กระทั่งเดือน มี.ค. สามีโทรมาบอกว่า ปวดท้อง และปวดศีรษะ หลังจากวันหยุดได้ชวนเพื่อนรวม 9 คน ออกไปเก็บหอยคล้ายกับหอยเชอรี่ในคลองนำมาทำก้อยหอยทั้งสุกและดิบ รับประทาน
ทั้งนี้ หัวหน้างานเคยแจ้งแรงงานไทยแล้วว่า อย่างกินปลาและหอยในคลองธรรมชาติ เพราะว่าไม่สะอาด เพราะโรงงานปล่อยสารเคมีลงคลอง คนไต้หวันส่วนมากจะกินปลาเลี้ยง และปลาทะเล หลังจากเก็บหอยนำมาปรุงอาหารทั้งสุกทั้งดิบกิน ผ่านมา 2 วัน สามีและเพื่อนทั้ง 9 คน รู้สึกปวดท้องและปวดศีรษะ จึงได้ไปหาหมอ และกินยาแก้ปวด ประมาณ 1 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม สามีอาการไม่ดีขึ้น จึงได้ไปโรงพยาบาลและบอกหมอว่าเก็บหอยในคลองมากิน หมอจึงให้นอนโรงพยาบาลทั้งหมด ขณะนอนอยู่ในโรงพยาบาลยังได้โทรไลน์คุยกัน โดยตนบอกให้สามีขอนายจ้างกลับบ้าน แต่นายจ้างไม่อนุญาต หลังจากนั้น 2 วัน ก็ไม่สามารถติดต่อสามีได้
...
ขณะที่รอโทรศัพท์สามีอย่างกระวนกระวาย มีเพื่อนคนงานไทยได้โทรศัพท์มาบอกว่า สามีหมดสติ ไม่รู้สึกตัว นอนอยู่ในห้องไอซียู เพราะมีอาการหนัก พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วง จึงได้ยืมเงินกู้นอกระบบ 5 หมื่นบาท เป็นค่าตั๋วเครื่องบินและค่ากินอยู่ ให้ตนบินไปดูอาการสามี
เมื่อไปถึงพบว่าสามีนอนไม่ได้สติในห้องไอซียู ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แพทย์แจ้งว่า สามีกินหอยดิบทำให้พยาธิเข้าไปอยู่ในร่างกาย เส้นเลือด และขึ้นสมอง พยาธิได้กัดกินสมอง คนไข้มีโอกาสฟื้น 0% แต่ยังไม่ตายเพราะเป็นคนหนุ่ม ร่างกายแข็งแรง หมอบอกให้ตนและพ่อแม่ทำใจ ตนอยู่ดูแลสามี 1 เดือน ซึ่งต้องเจาะคอและให้อาหารทางสายยาง
ส่วนคนงานไทยที่กินหอยด้วยกันอีก 8 คน อาการดีขึ้น เพราะกินหอยปรุงสุก หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้ นายจ้างอนุญาตให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน เมื่อหายดีจึงกลับไปทำงาน แต่ทั้งหมดยังมีอาการขาอ่อนแรง ส่วนสามีของตนกินหอยดิบ หรือ ก้อยหอย อาการจึงหนัก หมอบอกว่าหากไม่ต้องการให้ผู้ป่วยทรมาน ก็สามารถดึงออกซิเจนออก ผู้ป่วยก็จะเสียชีวิต ตนก็สามารถทำได้ แต่ตนรักสามี พ่อแม่ก็ยังทำใจไม่ได้ อยากจะนำสามีกลับไปรักษาที่บ้าน ถึงจะเป็นเจ้าชายนิทราก็จะดูแลกันเอง
"เพราะความจนและได้ค่าแรงน้อย ทำให้ต้องประหยัดเงินเดือนไว้ใช้หนี้ จึงได้ชวนกันไปหาหอยตามคลองมาประกอบอาหาร ไม่คิดว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต เมื่อเจ็บป่วยปางตาย ก็อยากพาสามีกลับมาบ้าน แต่ค่าเดินทางแพง เพราะต้องเดินทางแบบคนป่วยทางเครื่องบิน และต้องเช่าเหมาลำราคา 5 แสนบาท ค่ารักษาพยาบาลอีกจำนวนหนึ่ง ที่ยังค้างจ่าย"
ส่วนสิทธิในการรักษาพยาบาลจากโรงงานก็หมดแล้ว แต่ยังมีมูลนิธิแรงงานไทยที่ไต้หวัน และกลุ่มแรงงานไทยได้บริจาคเงินช่วยเหลือมาบ้าง จึงอยากวอนรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ใจบุญ ช่วยเหลือ นำสามีกลับมารักษาตัวที่บ้าน ให้ภรรยา พ่อแม่ และญาติพี่น้อง ได้ดูแลกันในวาระสุดท้ายด้วย
ขณะที่ นางยุทธศาสตร์ ทูลกลาง นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สำนักงานจัดหางานจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ทางเราสอบถามไปยังบริษัทจัดหางานที่ส่งตัวนายฉัตรชัยไปทำงาน แจ้งว่าได้ประสานงานติดต่อให้การช่วยเหลือ โดยให้เอเย่นต์เป็นผู้ประสานงานให้ตลอด ส่วนเรื่องการรักษา คนงานใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพ โดยคนงานจะต้องรับผิดชอบจ่ายค่าส่วนต่างในการรักษาเอง
ส่วนการส่งตัวกลับมารักษาที่บ้าน บริษัทแจ้งว่า หมอที่ไต้หวันให้ความเห็นว่าหากมีการส่งตัวกลับมารักษาที่ประเทศไทย จะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่หากถอดเครื่องช่วยหายใจ คนงานอาจเสียชีวิตทันทีในระหว่างการเคลื่อนย้าย โดยบริษัทได้ทำการติดต่อประสานกับทางครอบครัวตลอดเพื่อให้การช่วยเหลือ
ทั้งนี้ ผู้ใจบุญสามารถบริจาคเงินนำนายฉัตรชัย กลับมาบ้านได้ โดยบริจาคทางบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านผือ ชื่อบัญชี นางทองวัน ขุริดี เลขที่บัญชี 4310512593