อีกเรื่องในที่น่าสนใจของคณะราชทูตไทยคือคาถาอาคม เพราะรอดพ้นวังน้ำวนที่ติดอยู่ 3 วัน 3 คืน ซ้ำแสดงให้ "พระเจ้าหลุยส์ที่ 14" ได้ทอดพระเนตรปืนไฟฝรั่งเศสทำอันตรายไม่ได้แม้แต่น้อย
การเดินทางของคณะราชทูตสยามที่นำด้วย ออกพระวิสุทธสุนทร (ปาน) ราชทูต ออกหลวงกัลยาราชไมตรี อุปทูต และออกขุนศรีวิสารวาจา ตรีทูต ไปยังฝรั่งเศส โดยเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้น ซึ่งการเดินทางโดยเรือกำปั่นนั้นไม่ได้ราบรื่น
ทั้งนี้ แฟนเพจเฟซบุ๊ก ฅนขลัง คลังวิชา ได้เขียนบทความถึงช่วงเวลาดังกล่าวไว้ว่า พระยาโกษาธิบดีปาน ได้เชิญอาจารย์ผู้มีวิชาให้เดินทางไปพร้อมคณะด้วยผู้หนึ่ง อาจารย์ฆราวาสผู้นี้มีพลังจิตแก่กล้าเก่งทางวิปัสสนา ชำนาญในด้านกสิณยิ่งนัก แต่จำต้องเป็นนักเลงสุราด้วย (เมืองนอกอากาศหนาวต้องดื่มสุรา) เมื่อคณะเดินทางด้วยเรือกำปั่นแล่นไปในท้องทะเลนานถึง 4 เดือน เมื่อถึงปากน้ำประเทศฝรั่งเศส บังเอิญเกิดพายุใหญ่พัดพาเอาเรือกำปั่นของคณะราชทูตสยามเข้าไปตกอยู่ในวังน้ำวนอยู่นานถึง 3 วัน 3 คืน ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นออกมาได้ ทุกคนที่ไปในกำปั่นต่างตกใจกลัวว่าเรือกำปั่นจะล่มลงเสียในทะเล ตามปกติไม่ว่าเรือใดตกเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งวังน้ำวนแล้วเป็นต้องถูกดูดจมลงไปอยู่ก้นทะเลทุกลำ
โกษาปานจึงปรึกษากับอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมว่าจะคิดแก้ไขอย่างไร ให้เรือหลุดพ้นออกมาจากวังน้ำวนได้ อาจารย์ผู้เรืองเวทย์บอกว่าไม่ต้องตกใจจะแก้ไขเหตุนี้ให้เอง แล้วตัวอาจารย์ก็จัดแจงนุ่งขาวห่มขาว นำเครื่องสักการะธูปเทียนมาบูชา เข้าสมาธิทำกรรมฐานเจริญวาโยกสิณ (ลม) ครู่หนึ่งปรากฏมีพายุใหญ่หอบเอาเรือกำปั่นให้หลุดพ้นออกมาจากวังน้ำวนได้อย่างอัศจรรย์น่าประหลาดใจ เรือแล่นเข้าเทียบท่าเรือเมืองฝรั่งเศสอย่างสะบักสะบอม แล้วคณะราชทูตก็เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส
...
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสสงสัยในพระทัยยิ่งนักว่าหลุดพ้นมาได้อย่างไร เพราะไม่เคยปรากฏว่ามีเรือกำปั่นลำใดที่ตกเข้าไปในวังวนแล้วจะหลุดรอดออกมาได้ จึงทรงให้ล่ามซักถามโกษาปานอีกว่าเป็นจริงหรืออย่างไร โกษาปานทูลตอบว่าเป็นความจริงทุกประการ ถามผู้เดินทางมาในคณะก็ยืนยันตรงกัน พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสเห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก
ไม่เพียงเท่านั้น วันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสให้คณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าที่หน้าพระลาน ทรงรับสั่งให้พลทหารแม่นปืนจำนวน 500 คน มายิงปืนให้คณะราชทูตสยามชมแสนยานุภาพอาวุธ และความเก่งกล้าสามารถของชาวฝรั่งเศสเป็นขวัญตา ว่าทหารฝรั่งเศสมีความแม่นยำเพียงใด โดยให้แบ่งทหารออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายละ 250 ยืนเรียงหน้ากระดานหันหน้าประจันกันสองแถว แล้วสั่งให้ยิงปืนเข้าไปในลำกล้องของปืนอีกฝ่าย เห็นว่าไม่มีกระสุนนัดใดพลาดเป้าเลย
พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสตรัสถามผ่านล่ามว่า ทหารแม่นปืนเช่นนี้ในกรุงศรีอยุธยามีหรือไม่? โกษาปานตอบว่า ทหารแม่นปืนเช่นนี้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยา มิได้นับถือใช้สอย เมื่อได้ฟังดังนี้รู้สึกขัดเคืองพระราชหฤทัย จึงให้ล่ามซักถามว่าพระเจ้าแห่งกรุงศรีอยุธยานับถือทหารมีฝีมือประการใดเล่า ราชทูตสยามกราบทูลว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงนับถือใช้สอยคนดีมีวิชา ทหารแม่นปืนเหล่านั้นจะยิงใกล้ไกลก็มิถูกต้องกายทหารแห่งกรุงศรีอยุธยาได้ ทหารบางพวกเข้าไปหาข้าศึกได้โดยข้าศึกไม่เห็นตัว บางพวกคงทนต่ออาวุธจะยิงฟันประการใดก็ทำอันตรายมิได้
พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสฟังแล้วไม่เชื่อว่าเป็นจริง คงเป็นเพียงคำคุยโม้โอ้อวดมากกว่า จึงขอให้แสดงวิชาให้ประจักษ์แจ้งได้หรือไม่ ราชทูตตอบว่าได้ ทั้งขอให้ทหารแม่นปืนทั้ง 500 คน ระดมยิงไปยังคณะทหารสยามทั้งใกล้ไกล ขอรับรองว่าเหล่าทหารสยามจะไม่เป็นอันตราย มั่นใจว่าจะไม่มีกระสุนปืนถูกต้องกายเลยแม้แต่น้อย รุ่งขึ้นโกษาปานสั่งให้สร้างเบญจา (แท่นที่มีเพดานคาดและระบายผ้าขาว) 3 ชั้นที่หน้าพระลาน คาดด้วยผ้าขาว และปักราชวัตรฉัตรธงล้อมรอบ ตั้งเครื่องโภชนาหาร มัจฉามังสาสุรา ไว้ให้พร้อม แล้วให้อาจารย์ผู้เรืองอาคม และศิษย์ทั้ง 16 คน ผูกเครื่องรางของขลังเลขยันต์ที่ลงอาคม ส่วนอาจารย์นุ่งขาวใส่เสื้อครุยขาวพอกเกี้ยวพันผ้าขาว ส่วนศิษย์ทั้ง 16 คน ใส่เสื้อสวมหมวกปัพตูแดงทั้งสิ้น กราบถวายบังคมต่อพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสทรงทราบ แล้วคนทั้งหมดขึ้นนั่งบนเบญจา
พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสรับสั่งให้ทหารทั้ง 500 คนระดมยิงทหารสยามพร้อมกัน แต่ด้วยอำนาจคุณพระรัตนตรัยและคุณเลขยันต์คุ้มครองป้องกัน พลปืนฝรั่งเศสทั้ง 500 คน ยิงปืนทั้งใกล้ไกลหลายครั้งเพลิงศิลาปากนกสับไม่ติด ดินดำไม่ลั่นเลย เหล่าทหารและอาจารย์ต่างบริโภคอาหารสุราอยู่ในมณฑลพิธีอย่างไม่สะทกสะท้าน พลทหารฝรั่งเศสตกใจเกรงกลัวย่อท้อเสียทั้งสิ้น อาจารย์ได้ร้องสั่งว่าให้ยิงอีกครั้ง ปรากฏว่าเพลิงดินดำติดกระสุนออกจากลำกล้องใกล้บ้างไกลบ้าง ที่ตกปากกระบอกก็มี ที่ไปตกบนเบญจาก็มิได้ถูกใครเลย พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสทอดพระเนตรเห็นจริงเช่นนั้น ก็ทรงพอพระทัยเป็นอันมาก.
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะยังไม่กระจ่างชัดนัก แต่ก็เข้าข่ายกับที่เกศสุรางค์ หรือแม่การะเกด กล่าวถึงในบทละครตอนหนึ่งว่า “โอเค...ประวัติศาสตร์บอกว่าอย่างนี้นะ กลางทางเรือไปเจอคลื่นน้ำวนด้วยลมมรสุม เรือก็เลยลอยขึ้นลงสูงเหมือนตึกหลายชั้น เรือก็หมุนรอบตัวเอง แล้วตกไปอยู่ในวังน้ำวน ถ้าไม่มีอาจารย์ชีปะขาวไปช่วยดึงเรือขึ้นมาจากน้ำวนนั่นน่ะ ก็...เรือล่มจมหายไปในทะเลชัวร์”
(ขอบคุณเฟซบุ๊ก ฅนขลัง คลังวิชา)