ระยะนี้ภาคีเครือข่าย สสส. (กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) กำลังระส่ำอย่างหนัก เพราะโดนกรมสรรพากรไล่บี้เก็บภาษีย้อนหลังในโครงการสร้างเสริมสุขภาพกว่า 4,000 โครงการ ซึ่งกรณีนี้น่าจะเป็นการเก็บภาษีสองมาตรฐาน

ปัญหานี้ยืดเยื้อมาตั้งแต่การตรวจสอบงบการเงินในปีงบประมาณ 2557 โดย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ระบุว่า “ข้อตกลงดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพ” เป็น “สัญญาจ้างทำของ” และวงเงินงบประมาณทั้งหมดที่ สสส.สนับสนุนให้แก่ภาคีเครือข่ายถือเป็นรายได้ของภาคี พร้อมส่งเรื่องให้ กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากภาคีเครือข่าย สสส.ทั่วประเทศ

ทั้งๆที่ตลอดเวลาสิบกว่าปีตั้งแต่ สสส.ก่อตั้งขึ้นมา ข้อตกลงดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพถือเป็น “สัญญาตัวแทน” เพราะ สสส.ถูกออกแบบให้เป็นองค์กรขนาดเล็ก ทำงานสร้างเสริมสุขภาพโดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เสนอโครงการเข้ามา และ สสส.จะพิจารณาโครงการก่อนสนับสนุนงบประมาณออกไป ดังนั้น งบประมาณในโครงการต่างๆยังคงเป็นเงินของ สสส.โดยให้ภาคีเครือข่ายเป็นผู้นำไปดำเนิน-การแทน

ยกเว้นส่วนที่กำหนดไว้ชัดเจนในโครงการว่าเป็น รายได้ หรือ ค่าตอบแทน ของภาคี ซึ่ง สสส.จะหักภาษี ณ ที่จ่าย และภาคีนำไปเสียภาษีรายได้ต่อไป

ยกตัวอย่างโครงการหนึ่งวงเงิน 1 ล้านบาท แบ่ง 10% เป็นค่าบริหารโครงการ ซึ่งเป็นค่าตอบแทนของผู้จัดการโครงการ และเจ้าหน้าที่ จำนวน 1 แสนบาท ตรงนี้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำไปเสียภาษีประจำปีอยู่แล้ว ที่เหลืออีก 90% เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดกิจกรรม ผู้รับผิดชอบโครงการ ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวแทนของ สสส. ไม่ใช่ว่ามีรายได้จากเงิน 9 แสนบาทนี้ และการเบิกจ่ายก็ต้องทำตามระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด หลังจบโครงการยังมีการตรวจสอบบัญชีของ สสส.ภายใต้การกำกับดูแลของ สตง.ด้วย

...

แต่พอ สตง.มาเปลี่ยนหลักการว่า โครงการของ สสส.เป็นสัญญาจ้างทำของ บรรดาภาคีเครือข่ายตั้งแต่ผู้จัดการโครงการ และเจ้าหน้าที่ทุกคน เลยถูกเหมาให้ต้องรับภาระภาษีจากยอดเงินทั้งโครงการ ถูกเรียกเก็บภาษีโดยคิดวงเงินรายได้ที่ 1 ล้านบาท ที่แย่กว่านั้นคือข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่หน่วยงานต้นสังกัดส่งมาช่วยประสานการทำงาน ก็ถือเป็นผู้มีรายได้ โดนเรียกเก็บภาษีด้วย

หลังเกิดปัญหานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตั้ง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง มี ดร.ประวิตร นิลสุวรรณากุล อดีตคณบดีคณะบริหารธุรกิจ นิด้า เป็นประธาน ผลสรุปชี้ชัดว่าข้อตกลงของ สสส.ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของ ต่อมาได้แจ้งผลสอบไปให้กรมสรรพากรและ สตง.รับทราบแล้ว ซึ่งทั้งสองหน่วยงานไม่เคยโต้แย้งผลการสอบเลย แต่สรรพากรพื้นที่ต่างๆกลับไปเรียกเก็บภาษีจากภาคีเครือข่าย สสส.อีก

กรณีที่เป็นข่าวดังเช่นการเรียกภาษีจาก มูลนิธิวัดปัญญานันทาราม ประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งมูลนิธิได้เสนอ โครงการชวนคนเข้าวัดวันอาทิตย์ เพื่อห่างไกลจากอบายมุขและลดเหล้าลดบุหรี่ สสส.พิจารณาสนับสนุนโดยกำหนดให้ใช้จ่ายตามระเบียบ แต่สรรพากรกลับไปคิดว่าเป็นเงินได้ของมูลนิธิ และกล่าวหาว่าพระเลี่ยงภาษี

หรืออย่างกรณีเรียกเก็บภาษีจาก โครงการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งเป็นโครงการที่ทำในนามจังหวัดเชียงใหม่ แต่สรรพากรกลับไปเรียกเก็บภาษีจาก นพ.ธรณี กายี จำนวน 2 ล้านบาท

งานนี้ถือเป็นการรีดภาษีสองมาตรฐาน เพราะเมื่อก่อนไม่เคยคำนวณภาษีแบบนี้ แต่จู่ๆก็มาเปลี่ยนหลักการคิดภาษี นอกจากนี้การดำเนินโครงการของ สสส.ทำเหมือนกับกองทุนอื่น เช่นกองทุน สนับสนุนการวิจัย กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ แต่กลับมีเฉพาะภาคี สสส.เท่านั้นที่โดนรีดภาษี

ถ้าภาคีเครือข่าย สสส.จะไปร้องเรียนขอความเป็นธรรม ผมแนะนำให้ไปทำเนียบรัฐบาลวันพุธตอนเย็น ช่วงที่นายกฯนำข้าราชการออกกำลังกาย เผื่อท่านจะลงมาช่วยดูให้ครับ.

ลมกรด