มาแรงแซงโค้ง เพราะตัวตนไม่เหมือนใครและความหลงใหลในดนตรี พาหนุ่ม “เดอะ ทอยส์” (The TOYS) หรือ “ธันวา บุญสูงเนิน” ศิลปินค่ายวอท เดอะ ดัก เจ้าของเพลงฮิต “หน้าหนาวที่แล้ว” และ “ก่อนฤดูฝน” โลดแล่นเป็นนักดนตรีฝีมือและมาแรงที่สุดคนหนึ่งตอนนี้ แถมยังชวนให้สาวๆเคลิ้มทั้งที่เจ้าตัวพูดน้อยขี้อายแต่ขึ้นเวทีเมื่อไหร่กลับปล่อยเสน่ห์เหมือนคนละคน ล่าสุด ปล่อยซิงเกิ้ลเดียวรวด 2 เพลง 2 อารมณ์ ในเพลง “TOY” (ทอย) และ เพลง “04:00” “เดอะ ทอยส์” เล่าการทำงานและเผยตัวตนว่า...
“อย่าง เพลงทอย พลิกมาแนวอัลเทอร์เนทีฟ-ร็อก คือตัวเราที่มองผ่านเรา เนื้อหามาจากการที่ผมส่องกระจก แล้วผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลยคิดว่าผมพร้อมรึยังที่จะออกไปเจอคนอื่น ยืนคิดว่าเราแต่งตัวเรียบร้อยรึยัง ผมเราก็ฟูมากแต่ถ้าให้หวีก็ไม่ได้ ส่วน เพลง “04:00” หรือตีสี่ ก็จะบอกว่า เวลาเราฝันดีมากๆ เราบังคับตัวเองในฝัน แต่สุดท้ายมันก็ตื่น อยากกลับไปหลับตาฝันเรื่องเดิมก็ทำไม่ได้แล้ว เวลาเลือกปล่อยซิงเกิ้ลผมจะดูว่าวันนั้นเดือนนั้นปีนั้น ผมอยากนำเสนออะไร อยากพูดถึงอะไร”
...
เรื่องราวเพลงของทอยได้มาจากอะไรบ้าง?
“มีทั้งเรื่องตัวเองเล็กๆน้อยๆและเรื่องที่เราชอบจากการฟังคนอื่นที่มันดูมีอะไรดึงดูด มาดัดแปลงจนมันลงตัว”
เพลงเศร้าแต่ชีวิตจริงรักแฮปปี้ ดูสวนทางกัน?
“การเขียนเพลงกับชีวิตจริงมันคนละส่วน เราแค่สัมผัสอารมณ์นั้นได้เฉยๆแค่อยากเล่าเรื่องที่เราชอบ ผมเป็นคนเซนซิทีฟกับคำบางคำที่คนพูดออกไป ผมจะคิดกับมันไปเรื่อยเปื่อยว่าคำนั้นซ่อนอะไร บางทีถ้าเอาเรื่องตัวเองมาเขียนทั้งหมด มันยากที่คนจะเป็นแบบเรา ผมรู้ตัวว่าผมไม่เหมือนคนอื่นในความเจ็บอกหัก เพราะผมยังไม่เคยเจ็บในความรักมากๆ แต่ผมเจ็บในคำพูดได้”
ล่าสุดมีงานแฟนมีตติ้งแฟนคลับล้นหลาม?
“จริงๆผมคิดว่าจะมีคนมามั้ย คิดว่าเอาให้ถึง 200 ก่อน แต่วันนั้นผมตกใจมากภาพที่ผมเห็นเป็นภาพที่คนที่ไม่เคยคิดจะเป็นศิลปิน หรือนักร้องแต่วันนึงมีคนอยากมาเจอเรา ยืนรอเรา รอข้ามวันก็มี ผมตกใจนะและเป็นห่วงเค้า ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเจอ มันได้รับพลังบวก จากที่เราไม่เคยคิดเป็นนักร้อง กลายเป็นว่าเราอยากทำให้มันดีขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ”
อะไรคือความประทับใจที่สุดที่ได้จากแฟนคลับ?
“แค่เค้าร้องเพลงผมได้พร้อมกัน สำหรับผมเพลงผมทำคนเดียวในห้องผมจบงานเองคนเดียว แล้ววันนึงเพลงมันสามารถที่จะผลักผมออกมาจากห้องนั้นและส่งมาเจอทุกคน พาเรารู้จักทุกคน พาทุกคนมารู้จักเรา มันมหัศจรรย์”
เรียกว่ามาถึงฝันตัวเองรึยัง?
“จริงๆผมถึงฝันตั้งแต่แรก ไม่ได้ฝันว่าจะมาเป็นอย่างนี้ ความฝันผมแค่อยากเป็นมิวสิกโปรดิวเซอร์ เป็นคนเบื้องหลังที่ได้ผลักดันศิลปินขึ้นไปนั่นคือความฝันสูงสุดของผม”
แล้วพอฝันเขยิบมาถึงตรงนี้ฝันก้าวต่อไปของทอยคืออะไร?
“ไม่มีเลย แค่พัฒนาตัวเองในส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขว่าแท้จริงแล้วการเป็นศิลปินมันทำยังไงบ้างจึงจะสมบูรณ์”
แรกๆคนมองว่าเราบุคลิกเงียบมาก เวลาผ่านไปก็ดูสื่อสารกับแฟนๆมากขึ้น อะไรทำให้เราเปิดมากขึ้น?
“ผมมองว่าแฟนเพลงเราคือทีมเดียวกันเพราะจุดหมายเราคือสิ่งเดียวกัน จุดหมายผมคือทำเพลงให้มีค่าส่วนพวกเค้าก็เข้ามาทำให้เพลงมีค่าเหมือนกัน บนเวทีผมแค่พร้อมที่จะเล่าจะพูดเรื่องนั้น แต่พออยู่ข้างล่างเวทีผมไม่รู้จะพูดอะไร ผมเคยนะตอนเล่นดนตรีแรกๆดูวงอื่นก่อนหน้า เค้าบอกว่า ทุกคนชูมือขึ้นมา ผมเอาไปทำตาม แต่คนดูก็ยืนงงๆ ต่อให้เราทำอะไรแล้วมันไม่ใช่เรามันก็ไม่ได้ผลที่ดี งั้นเราก็เป็นเราดีกว่าไปให้สุดทาง มันก็เป็นความสุขแล้ว”
...
กังวลมั้ยว่าผลงานใหม่ยิ่งต้องทำให้ดีให้คนชอบ?
“ถ้ามองอย่างนั้น มันคือเราต้องทำในแนวคิดคนอื่น กลับกันแค่เราคิดว่าเราชอบแบบนี้ทำอะไรมันก็มีความสุข ผมเคยศึกษาเรื่องธุรกิจทำเพลงอย่างละเอียด จุดเริ่มต้นที่ผมร้องเพลงมันตลกมากผมแทบไม่มีหน้าผมบนปกแล้วก็กลายเป็นเราทุกวันนี้ ดังนั้นผมเปลี่ยนความคิดใหม่ ตอนนี้มีทำให้พี่ทอม รูม39, โปเตโต้, นิวจิ๋ว, เรโทรสเป็ค ผมมอง ว่าเค้าเป็นยังไงมาเราก็ทำให้ชัดเจนในความเป็นเค้า”
แถมตอนนี้เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวๆขึ้นแท่นสามีแห่งชาติ รู้สึกยังไง?
“ก็เขินๆนะครับ ตลกดี” ผมมองว่าเค้าชอบเพลงเรา ติดตามผลงานเรามากกว่า ถ้าถามว่าเสน่ห์ของเรา คืออะไรตรงนั้นผมก็ไม่รู้ ถ้าทำอะไรไม่ถูกก็มึนใส่”
มีงานด้านอื่นๆ ติดต่อมาเยอะมั้ยเช่นงานแสดง?
“มีครับ ผมชอบดูหนังนะแต่นึกภาพไม่ออกว่าตัวเองอยู่ในนั้นเป็นยังไง คงไม่ถนัด อาจยังไม่ใช่ตอนนี้” เรื่องหัวใจชีวิตจริงคนก็จับตาเพราะเปิดตัว “เกีย”
แฟนสาวมากขึ้น สร้างตำนานรักวัยเด็กมาเจอกันอีกครั้งตอนโตเป็นรักมั่นคง?
“ผมไม่รู้ตัวว่ามันมั่นคงนะ แค่รู้ว่าเราอยู่กับเค้าแล้วมันสบายใจ มีอะไรก็ปรึกษาเป็นเพื่อนคู่คิดได้ด้วย”
มีผลกระทบมั้ยเวลาคนจับตาความรักเยอะ?
“มันอาจจะมีแต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่”
แฟนหวงมั้ยเวลามีสาวเข้ามา?
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เค้าเป็นคนใจกว้าง”
อะไรทำให้เราเริ่มหลงใหลในดนตรี?
“สำหรับผมมันพิเศษตั้งแต่ผมเกิดมาเลย ตั้งแต่จำความได้ ลืมตามาคุณแม่ก็ซ้อมร้องเพลงแล้ว คุณป้าก็ซ้อมดนตรี คุณพ่อก็เล่นดนตรีอยู่ในบ้าน ผมก็ซึมซับมารู้ตัวอีกทีผมก็เป็นอย่างนี้แล้ว ความอยากเล่นเครื่องดนตรีต่างๆมันก็มาเอง คุณแม่ไม่อยากให้ทำอะไรเกี่ยวกับวงการเพลง ตั้งแต่รู้ว่าเราเริ่มชอบดนตรี คุณแม่บอกว่าเราเป็นไม่ได้หรอกอย่าไปทำเลยเพราะผมไม่ใช่เอนเตอร์เทนเนอร์ ผมพูดไม่เก่ง จะไปแข่งกับใครได้”
...
ถึงวันนี้ที่แม่เห็นเราบนเวทีล่ะ แม่รู้สึกยังไง?
“แม่ก็ไม่ได้ชมมาก บอกว่าดีแล้ว”.