ตอนนี้สังคมกำลังสนใจคดีใหญ่ “เจ้าสัวล่าเสือ” ปมซีอีโอใหญ่ บริษัทชั้นนำของประเทศ พร้อมพลพรรค แบกปืนหลายกระบอกเข้าไปใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร กระทั่งต่อมา ถูกเจ้าหน้าที่นาม “วิเชียร ชิณวงษ์” หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ นำทีมเข้าไปจับกุม กระทั่งมีคลิปเสียงหลุดคล้ายมีการเจรจาต่อรองบางอย่างกัน
ต่อมา ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาให้ความเห็นระบุ “แนะนำ” ให้ กรมอุทยานฯ เอาผิดกับ “วิเชียร” ที่ไม่เก็บตังค์ 110 บาท กับเจ้าสัวใหญ่ ที่เข้ามาในพื้นที่อุทยานฯ
สิ่งที่เกิดขึ้น... ควรทำหรือไม่! กรมอุทยานฯ ควรดำเนินการอย่างไรนั้น คงต้องรอดู
แต่ในฐานะ อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช “ดำรงค์ พิเดช” ในฐานะ "ข้าราชการมืออาชีพ ผู้อาสาพิทักษ์ป่าผืนสุดท้าย" ได้ให้ความเห็นกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า...
...
ภาพที่เห็นทั้งหมดจากพยานหลักฐานที่มอบให้เจ้าหน้าที่ สามารถดำเนินการกับกลุ่ม นายเปรมชัย กรรณสูต ได้หรือไม่ นายดำรงค์ ตอบสวนทันควันว่า ทั้งหมดเป็นการดำเนินคดีที่ครบมากที่สุด ตั้งแต่เรื่องสัตว์ป่า 9 ข้อหา จากที่ปกติใช้มาตรา 16, 19 สองสามข้อหาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ครั้งนี้ตำรวจเจาะละเอียดมาก เอาครบทุกกระบวนการเลย ก็เป็นตัวอย่างบรรทัดฐานของกรมอุทยานแห่งชาติ ใช้ในการจับกุมต่อไป ซึ่งต่อไปนี้จะต้องโดนจับกุมหมด ไม่ว่าชาวบ้านที่ไหนก็ตาม
หลักฐานในที่เกิดเหตุที่พบทั้งหมดนั้น พอจะยืนยันได้หรือไม่ว่าเป็นการ “ล่าสัตว์” ? ทีมข่าวถามในประเด็นสำคัญ อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ให้ความเห็นว่า จากประสบการณ์ที่ผมเป็นอธิบดีมา โดนหมดครับ เข้าไปล่าสัตว์ ไปจับผู้ต้องหาได้ 4 คน คนหนึ่งมีนก ส่วนอีก 3 คนไม่มี แต่มีอาวุธปืนไปร่วมด้วย เวลาขึ้นศาลก็โดนเท่ากันหมด เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีเจตนาจะเข้ามาล่าสัตว์อยู่แล้ว
“คำอ้างว่า “ไม่ได้จับปืน” สามารถกล่าวอ้างได้ทั้งสิ้น แต่ในแง่ของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้น บ่งชี้ให้เห็นว่า มีการเตรียมการไว้อย่างดี ทั้งการพกพาอาวุธปืนเข้ามาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อุปกรณ์ต่างๆ หลีกเลี่ยงตั้งแคมป์ในพื้นที่ที่จัดให้ แต่ไปในที่ใกล้บริเวณหนองน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าชุกชุม พฤติการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า มีการ “เจตนา” ซึ่งมีความผิดทั้งนั้น ส่วนโทษจะ หนัก เบา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ทำเลที่ตั้งขณะนั้นสามารถบ่งบอกได้หรือไม่ว่า ต้องการเข้ามาล่าสัตว์? นายดำรงค์ ตอบเสียงดัง ก็ใช่ไง!! “หนองปะชิ” เป็นที่ชุมนุมของสัตว์ที่ต้องมากินน้ำในลำธาร โดยหากไปอยู่ในทำเลอื่น โอกาสที่จะเจอสัตว์ป่านั้นมีน้อย แต่บริเวณนี้สัตว์ทุกชนิด เมื่อตกเย็นก็จะมุ่งมาอยู่บริเวณลำธาร และยิ่งหากล่าในช่วงเวลากลางคืน จะต้องมีผู้ร่วมขบวนการมากกว่านี้ โดยเฉพาะคนนำทาง!!
นายดำรงค์ อธิบายต่อเพื่อให้เห็นภาพว่า เมื่อใดที่ขาก้าวออกจากแคมป์ในเวลากลางคืน ประกอบกับยิ่งเป็นคนต่างถิ่นด้วยแล้วนั้น คุณมีโอกาสหลงทันที แม้เพียงแค่ระยะทาง 100 เมตรเท่านั้น
...
ขณะที่ หากล่าในเวลากลางวันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีคนนำทาง โดยเดินจากแคมป์ไป 1 กิโลเมตร ก็สบายๆ เพราะหนองน้ำนั้นจะมีสัตว์ลงมากินน้ำโดยตลอด เป็นช่วงจังหวะที่เจ้าเสือดำตัวนี้โชคร้าย ถึงฆาตพอดี
อดีตอธิบดีกรมอุทยานมองว่า เจตนาคงไม่ได้ไปล่าเสือดำ แต่คาดว่าเจอสัตว์ชนิดไหนคงล่าหมดมากกว่า ไม่ได้โฟกัสที่เสือดำอย่างเดียว เพราะหลักฐานที่เจอมีทั้ง เก้ง ไก่ฟ้าหลังเทา
ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ ตั้งแต่รับราชการมาเคยพบว่ามีประวัติในเรื่องนี้หรือไม่? นายดำรงค์ ตอบว่า ผมไม่ทราบเลย ผมไม่รู้จักเขาหรอกครับ ผมไม่รู้ว่าเขาเคยเข้ามา หรือเข้ามาแล้วไม่มีคนรายงาน เราไม่อาจรู้ได้ สังคมฝากกันมามีตลอดแหละ ไว้ใจกัน เขาเข้ามาอย่างนี้ไม่ต้องแจ้งส่วนกลาง อดีตข้าราชการโทรมา แล้วคนในพื้นที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน เรียนด้วยกันมา คือ คาดการณ์ไม่ถึง สรุปแล้วเจ้าหน้าที่เราคาดไม่ถึงกันทั้งนั้น ว่าจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้น”
ตนแนะนำกรมอุทยานฯ ไปแล้วในระเบียบใหม่ ต่อไปนี้ แขกไม่ว่าจะฝากมา หรือไม่ได้ฝาก เข้าไปแล้ว หลัง 6 โมงเย็นไม่ถึงจุดหมาย หัวหน้าพิทักษ์ต้องรายงานหัวหน้าหน่วย และหัวหน้าหน่วยต้องรายงานอธิบดีโดยตรงว่า จะให้ออกจากพื้นที่หรือไม่ให้ออก เพราะเรากำหนดจุดไว้ 1 2 3 4 จุดที่ 4 แล้วยังไม่เข้า เราต้องตรวจสอบแล้วว่า รถยางแตก หรือออกนอกลู่นอกทางไปไหน ใช้ระบบนี้เลย
...
“กฎหมายสัตว์ป่าต้องแก้ไขใหม่ ต่อไปนี้การลงโทษต้องแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ไม่ใช่ยิง นกตัวเดียว กับ ช้างตัวเดียว แล้วจะมีโทษเท่ากัน ยิงกระรอก กับ ยิงช้างป่า 1 ตัว บทลงโทษมันต้องหนักต่างกัน..!”
นายดำรงค์ กล่าวถึงในสมัยที่ดำรงตำแหน่งอยู่ว่า สมัยตนไม่มีใครกล้าร้องขอให้ปล่อยตัว โดยในยุคนั้นมีแต่พระธุดงค์ขอเข้าไปในทุ่งใหญ่นเรศวร 200 รูป ตนบอกว่า ไม่ได้หรอก เกิดเข้าไปแล้วช้างป่ากระทืบมรณภาพ 10-20 รูป แล้วจะทำอย่างไร หรือการจะขออนุญาตเข้ามาแข่งแรลลี่ ตนก็ไม่อนุญาต เพราะสัตว์มันแตกตื่นจากการเร่งเครื่อง แก่งกระจาน เขาใหญ่ ตนยังไม่อนุญาตเลย
ตอนนี้ประชาชนหลายคนรู้สึกว่า ไม่เกิดความเป็นธรรม หากจะไปลงโทษทั้งข้อหาอาญา หรือโทษทางวินัยกับ หัวหน้าวิเชียร
นายดำรงค์ ระบุว่า เราต้องดูเจตนา ตำรวจเขาอาจจะสอบถามว่า คนฝากคือใคร สาวลึกไปถึงต้นตอจริงๆ ว่ามาจากใคร ลำพังตัวของ หัวหน้าวิเชียร ไม่ผิดหรอก แต่ตำรวจเขาต้องการว่า ใครเป็นคนสั่งลงมา ก็หมายถึงว่า หัวหน้าวิเชียรถ้าไม่พูดก็มีความผิด ลักษณะอย่างนั้น แต่ถ้าคุณพูดก็เป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไปอีก ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงคนสั่งสุดท้ายว่า “คือใคร?”
...
หัวหน้าวิเชียร จะพูดออกมาหรือ เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่..?
นายดำรงค์ กล่าวว่า ข้าราชการผู้น้อยต้องพูดความจริง เพราะเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ได้อยู่รู้จักกับกลุ่มนี้ด้วย เขาไม่คาดคิดที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ เพราะในพื้นที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปได้อยู่แล้ว ถ้าไปเช้า-เย็นกลับ อำนาจหัวหน้าหน่วย เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยอยู่แล้ว ถ้าอาศัยเข้าไปกางเต็นท์นอนก็อำนาจอยู่ที่ ผอ.สำนัก แต่ถ้าค้างคืนบ้านพัก หรือถ่ายทำภาพยนตร์ก็อยู่ในอำนาจอธิบดีแล้ว
เท่าที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครกระทำอุกอาจขนาดนี้เลยใช่หรือไม่?
“การเข้ามาล่าสัตว์ของผู้มีอิทธิพลก็มีหมดแหละ แต่การแอบเข้าไปในทางลับๆ เราไม่รู้ มือดีๆ เข้าตรงไหน เราไม่รู้ไง ออกล่าสัตว์เส้นทางอุ้มผาง คลองลานเมื่อไหร่ มรดกโลกตะวันออกทุ่งใหญ่นเรศวร..
..ทำไมต้องเป็นที่นี่ เพราะว่าสัตว์ชุกชุมมาก ตอนนี้ฝั่งพม่าก็มารวมกันที่นี่หมด เพราะว่ามันปลอดภัย เจ้าหน้าที่คุ้มครอง ลาดตระเวนดูอยู่ และมีหมาใน ซึ่งเป็นผู้ล่าเยอะด้วย จริงๆ หมาในหนักกว่าคนนะ แต่หมาในไม่ล่าเสือ แต่ล่า เก้ง กวาง ลูกวัวแดง ลูกวัวกระทิง”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากฝากอะไรกับสังคม มีบทเรียนอะไรกับเรื่องนี้หรือไม่?
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้สังคมตื่นตัวอย่างมาก เสือ 1 ตัว เก้ง 1 ตัว ไก่ฟ้าหลังเทา 1 ตัว รวม 3 ตัว มันสะเทือนไปทั้งประเทศ ซึ่งผมมองว่ามันเป็นนิมิตหมายอันดี ว่าต่อไปนี้ ชีวิตของสัตว์ป่า น่าจะปลอดภัยมากขึ้น
คิดว่าตำรวจ กรมอุทยานฯ จะเอาจริงกับผู้ต้องหาหรือไม่?
นายดำรงค์ อุทานเสียงดัง... “โอ๊ยยย...แน่นอนครับ ไม่มีใครจะมาขัดขวางหรอก เขาติดตามเรื่องนี้กันทุกฝีก้าว องค์กรกระบวนการยุติธรรมก็ต้องอยู่กับร่องกับรอยด้วย”
ตั้งแต่เริ่มจับกุมมาถึงตอนนี้ ทุกขั้นตอนต่างๆ คิดว่าเอาผิดได้ไหม?
“โอ้โห...ไม่มีทางหลุดเลย คือ คดีที่จับชาวบ้าน เขียนสำนวนหยาบมากกว่านี้อีก ศาลยังสั่งจำคุกเลย แต่ครั้งนี้หลักฐานมันมัดแน่น มัดตาสังทีละกระทงๆ ขอหนังสือจริง แต่หนังสือยังไม่ออกมา คุณเข้าไปแล้ว จุดนี้ เพราะมีคนโทรไปฝากยังไงล่ะ ถึงเข้าไปได้ เพราะปกติเขาไม่ให้เข้าอยู่แล้ว คุณไม่มีหนังสือมาที่หน่วย เขาไม่เห็นหนังสือก็ไม่ให้เข้าอยู่แล้ว แต่ตรงนี้มันเกิดจากการสั่งการว่า สั่งกันอย่างไร หัวหน้าหน่วยเขาไม่ได้อยู่จุดนี้ เขาอยู่ที่ทำการ”
นายดำรงค์ กล่าวอีกว่า ถ้าไม่มีคนในอนุญาต ยังไงก็เข้าไปตรงนั้นไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่ได้หรอก และคนที่เข้ามา หากเขารู้ว่าเข้าไม่ได้ เขาจะเตรียมการอย่างนั้นมาเหรอ หรือว่าพวกเขารู้ว่า ไม่มีใครตรวจค้นรถเขาแน่ เพราะผู้ใหญ่สั่ง เขาก็เตรียมอาวุธมาเพียบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อาวุธที่พกพาเข้ามา คือ สิ่งที่บ่งบอกว่าพวกเขามั่นใจว่าไม่มีใครมากล้าตรวจเขาไง อุกอาจมาก ไม่กลัว และเข้าไปในเขตที่หวงห้ามด้วย
คดีนี้จะจบอย่างไร... เจ้าสัวล่าเสือจะผิดจริง และ "รอด" หรือไม่ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะเป็นผู้พิสูจน์ให้เห็นในไม่ช้า