ศาลตัดสิน "อดีต ปธ.สหกรณ์คลองจั่น" ชดใช้ กว่า 9.6 พันล้านบาท ฐานผิดเบิกจ่ายเงินสหกรณ์ปี 57 ผิดวัตถุประสงค์เข้ากระเป๋าตัวเอง
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก 1 ก.พ.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคําพิพากษา คดีที่ "สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จํากัด" เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร" อดีตประธานสหกรณ์ฯ อายุ 61 ปี และเจ้าหน้าที่สหกรณ์กับผู้รับเงิน รวม 32 คนเป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดํา พ.3628/2557 และ พ.4462/2557 ที่ศาลรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน
โดยฟ้องโจทก์ ระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ม.ค.52 - 30 พ.ค.55 ขณะที่ "นายศุภชัย" จําเลยที่ 1 ดํารงตําแหน่งประธานกรรมการดําเนินการสหกรณ์โจทก์ ได้ใช้อํานาจหน้าที่โดยมิชอบโดยไม่ได้กระทําภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์มีการเบิกจ่ายเงินโดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและเพื่อประโยชน์ผู้อื่น โดยเบิกจ่ายเงินด้วยเช็ครวม 878 รายการ เป็นเงิน 11,367,218,813.84 บาท ซึ่งระบุว่าเป็นการทดรองจ่าย แต่ไม่มีการนําเงินที่เบิกจ่ายมาส่งคืนให้แก่โจทก์ โดยได้สั่งจ่ายเช็คให้แก่บุคคลภายนอก รวม 191 รายการ เป็นเงิน 4,036,846,911.44 บาท
และสั่งจ่ายเช็คให้จําเลยที่ 2 รวม 22 รายการ เป็นเงิน 119,020,000 บาท ส่วนจําเลยที่ 3 เป็นรอง ผจก.ใหญ่ของสหกรณ์โจทก์ ได้ลงนามสั่งจ่ายเช็คร่วมกับ จําเลยที่ 1 โดยไม่มีอํานาจหน้าที่ในการสั่งจ่ายเช็ค
จําเลยที่ 4-5 เป็นเจ้าหน้าที่การเงินสหกรณ์โจทก์ได้ใช้อํานาจหน้าที่ของตนร่วมกันจงใจ ยินยอมและสนับสนุนให้จําเลยที่ 1 เบียดบังและยักยอกเงินของสหกรณ์โจทก์ ส่วนจําเลยที่ 6-9 ได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากการที่จําเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คของสหกรณ์โจทก์อันเป็นการได้มาซึ่งเงินหรือทรัพย์สินโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
...
จึงขอให้บังคับจําเลยที่ 1-2 ร่วมกันชําระเงิน 119,020,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย และบังคับให้จําเลยที่ 1, 3, 4, 5 ร่วมกัน ชําระเงิน 9,522,533,049.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย พร้อมทั้งให้จําเลยที่ 1 ร่วมกับจําเลยที่ 6, 7, 8, 9 ชําระเงินคืนส่วนที่จําเลยแต่ละคนได้รับไป
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจําเลยที่ 4, 5, 6, 30 และวัดพระธรรมกาย กับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 31-32
ขณะที่ จําเลยร่วมให้การในทํานองเดียวกันว่า คดีโจทก์ขาดอายุความละเมิด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ว่ามีสิทธิเรียกคืน การใช้สิทธิฟ้องของโจทก์ไม่ใช่การใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน เงิน และทรัพย์สินที่จําเลยที่ 6-9 ได้มานั้น เป็นการได้มาโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นลาภมิควรได้ทั้งไม่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2552 ขอให้ยกฟ้อง
ทั้งนี้ "ศาลแพ่ง" พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า ตามระเบียบของสหกรณ์โจทก์ ข้อ 20 กําหนดไว้ว่าการจ่ายเงิน ให้จ่ายเฉพาะเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์และเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ
แต่ปรากฏว่า "นายศุภชัย" อดีตปธ.สหกรณ์ จําเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 878 ฉบับ โดยระบุในใบสําคัญจ่ายว่าเป็นเงินทดรองจ่ายให้กับ จําเลยที่ 1 จึงไม่ใช่การจ่ายเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์สหกรณ์โจทก์ การกระทําที่ผิดระเบียบของจําเลยที่ 1 เป็นการกระทําทุจริตแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองและผู้อื่น โจทก์ในฐานะ เจ้าของเงินตามเช็คซึ่งจําเลยที่ 1 ได้สั่งจ่าย จึงมีสิทธิติดตามเอาเงินตามเช็คพิพาท 878 ฉบับคืนได้
และจําเลยที่ 1 ยังสั่งจ่ายเช็คของโจทก์มอบให้จําเลยที่ 2 จํานวน 22 ฉบับ รวมเป็นเงิน 119,020,000 บาท โดยระบุในใบสําคัญจ่ายเงินว่าเป็นเงินสํารองจ่ายของจําเลยที่ 1 ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินของสหกรณ์ที่ให้จ่ายเงินได้เฉพาะเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์
ดังนั้นการกระทําของจําเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการกระทําโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย "จําเลยที่ 1 และที่ 2" จึงต้องร่วมกันคืนเงินจํานวน 119,020,000 บาท ให้แก่สหกรณ์ฯ โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
ส่วนที่ "จําเลยที่ 1" ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คร่วมกับจําเลยที่ 3 จํานวน 841 ฉบับ เงินจํานวนดังกล่าวจําเลยที่ 1 ได้สั่งจ่าย โดยระบุไว้ในใบสําคัญจ่ายเงินว่าเป็นเงินสํารองจ่ายของจําเลยที่ 1 ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินของสหกรณ์เช่นกัน จึงถือได้ว่า "จําเลยที่ 1 และที่ 3" กระทําโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเอง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อติดตามเงิน จํานวน 9,522,533,049.50 บาท คืนจากจําเลยที่ 1 และที่ 3 ได้
นอกจากนี้ การที่จําเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คของโจทก์มอบให้แก่บุคคลต่าง ๆ โดยไม่ใช่กิจการภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจําเลยที่ 8-9 และจําเลยร่วมตามจํานวนที่จําเลยแต่ละคนได้รับ
สำหรับเงินที่ จําเลยร่วมอีก 3 คนได้รับจากจําเลยที่ 1 นั้น ปปง.ได้ยึดและอายัดไว้ โจทก์จะต้องไปดําเนินการพิสูจน์สิทธิต่อไป
ดังนั้นที่ "โจทก์" ฟ้องเรียกเงินคืนจากจําเลยและจําเลยร่วม เนื่องจากจําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 3 ร่วมกัน สั่งจ่ายเช็คของโจทก์โดยไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของโจทก์และเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับของโจทก์นั้น จึงเป็นการฟ้องเพื่อติดตามเอาทรัพย์ของโจทก์คืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกําหนดอายุความ ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดหรือลาภมิควรได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
"ศาลแพ่ง" จึงมีคำพิพากษาให้ "นายศุภชัย" อดีตปธ.สหกรณ์ จําเลยที่ 1 ชําระเงินให้แก่โจทก์ จํานวน 9,642,164,453.61บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องที่ 26 ส.ค.57 และของเงินต้น 9,522,533,049.50 บาทนับแต่วันฟ้องที่ 15 ต.ค.57 เป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จ
...
และให้จําเลยที่ 2 ร่วมกับจําเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์จํานวน 119,631,404.11บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ของเงินต้นจํานวน 119,020,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องด้วย
ส่วนจําเลยที่ 3 ให้ร่วมกับจําเลยที่ 1 รับผิดจํานวน 9,522,533,049.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ของนับจากวันฟ้องที่ 15 ต.ค.57
และให้จําเลยที่ 8-9 กับจําเลยร่วมอีก 22 คน ร่วมกับจําเลยที่ 1 ชําระเงินโจทก์ตามจํานวน ที่จําเลยแต่ละคนได้รับพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับเเต่วันฟ้อง
โดยยกฟ้องจําเลยที่ 17 และที่ 29 เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเบิกถอนเงินตามเช็คแล้วนําเงินไปมอบให้จําเลยที่ 4-5 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ได้นําไปใช้เป็นส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีแพ่งที่ "นายศุภชัย" ถูกตัดสินเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ทุจริตเงินสหกรณ์นั้น ถือเป็นสำนวนที่ 2 แล้ว ซึ่งพิพากษานี้อยู่ในศาลชั้นต้น โดยจำเลยทั้งหมดยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้อีกใน 30 วัน
โดยคดีแรก หมายเลขดำ ด.1674/2557 ศาลแพ่ง ได้ตัดสินไปเมื่อวันที่ 25 พ.ย.59 ให้ "นายศุภชัย" อดีต ปธ.สหกรณ์ กับจำเลยร่วมอีก 3 คน ที่เป็นอดีตคณะบริหารสหกรณ์ ร่วมกันชำระเงิน 3,811,605,926.18 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องที่ 1 พ.ค.57 จนกว่าจะชำระเสร็จ
โดยตัว "นายศุภชัย" อดีต ปธ.สหกรณ์ฯ ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ คดีอาญาฉ้อโกงสหกรณ์