ศาลจังหวัดนนทบุรีเบิกตัวจำเลยในคดีฆ่าสมาชิก อบต.บางริ้น จ.ระนอง เมื่อปี 2545 มารับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา กรณีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกลับตำรวจชุดสืบสวน ส่วนครอบครัวเตรียมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และขอรื้อฟื้นคดีใหม่...

วันที่ 4 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดนนทบุรีได้เบิกตัว นายวิโรจน์ สุวรรณี จำเลยในคดีฆ่าสมาชิก อบต.บางริ้น จังหวัดระนอง เมื่อปี 2545 ถูกจำคุกที่จำกลางบางขวาง(ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆ่าคนตาย) เพื่อมารับฟังคำพิพากษาในคดีที่เป็น โจทก์ยื่นฟ้องกลับตำรวจชุดสืบสวน ใช้ไฟฟ้าช็อตเพื่อให้รับสารภาพและซัดทอดผู้อื่น ซึ่งศาลจังหวัดระนองอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

โดยคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลงโทษจำคุกพลตำรวจตรีรณพงษ์ ทรายแก้ว จำเลยที่ 1 และพันตำรวจเอกอนุชน ชามาตย์ จำเลยที่ 2 คนละ 15 ปี ซึ่งทั้งคู่ไม่มาฟังคำพิพากษา และลาออกจากราชการ จนถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ จำเลยที่เหลืออีก 12 คน ศาลยกฟ้อง โดยจะมีทนายความ และครอบครัวของนายวิโรจน์ ไปร่วมรับฟังด้วย

ขณะเดียวกัน นางสาวอังศุมารินทร์ สุวรรณี ลูกสาว พร้อมด้วยญาติของนายวิโรจน์ เตรียมเดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และปรึกษาเรื่องการขอรื้อฟื้นคดีที่ศูนย์บริการร่วม กระทรวงยุติธรรม รวมถึงเข้ายื่นขอความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ

นางสาวอังศุมารินทร์ เปิดเผยว่า การเตรียมตัวเข้ายื่นหนังสือในครั้งนี้ ถือเป็นความหวังเดียวของครอบครัวในการขอความเป็นธรรม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ของนายวิโรจน์ และหวังว่าจะนำไปสู่การรื้อฟื้นคดี เพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้พ่อ ซึ่งเป็นผู้นำคนสำคัญของครอบครัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในครั้งนี้ ได้ใช้วิธีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อ่านให้โจทก์ฟังภายในเรือนจำบางขวาง และล่าสุด ทนายความได้พาญาติเดินทงไปที่สำนักงานตรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการในทางแพ่งด้วย

...

สำหรับคดีนี้ โจทก์ฟ้องระบุว่า พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 14 คน ร่วมกันกระทำจับกุมเพื่อบังคับใช้ไฟฟ้าช็อตให้ นายวิโรจน์ สุวรรณี โจทก์ที่ 1 และนายวินัย ขุนแผ้ว โจทก์ที่ 2 ให้ซัดทอด นายกรีฑา ยกย่อง (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองบางริ้น) โจทก์ที่ 3 ว่าเป็นผู้จ้างวานให้ใช้ปืนยิง นายเกษม คงตุก สมาชิกสภา อบต.บางริ้น เสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 45 เหตุเกิดที่ ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง 

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 14 คน ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 200 วรรค 2 มาตรา 295 มาตรา 296 มาตรา 309 วรรคแรก มาตรา 310 ทวิ ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 83 อีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายอาญา เพื่อจะแกล้งให้โจทก์ที่ 3 ต้องรับโทษ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 15 ปี

จนกระทั่งศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 60 หลังจากมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษามาแล้วถึง 3 ครั้งก่อนหน้านี้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่มาฟังคำพิพากษาดังกล่าว ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังในวันนี้ โดยใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานกว่าชั่วโมงครึ่ง มีความยาว 41 หน้ากระดาษ ซึ่งศาลฎีกาได้พิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของ จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 15 ปี นับว่าเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 2 คนละ 15 ปี และยกฟ้องจำเลยที่เหลืออีก 12 คน

โดยคดีมีการต่อสู้กันมายาวนานกว่า 15 ปี ซึ่ง นายกรีฑา ยกย่อง โจทก์ที่ 3 กล่าวว่า ดีใจที่ศาลตัดสินคดีนี้อย่างเป็นธรรมที่สู้มาตลอดเพราะต้องการความเป็นธรรมจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ถามว่าถ้าเราไม่สู้ เราก็ตายอย่างเดียว ขอขอบคุณความยุติธรรมที่ยังมีให้กับประชาชนได้ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง หลังจากนี้จะให้ทนายดำเนินการทางแพ่งต่อไป

ด้าน น.ส.ปิยวดี คชสิงห์ ภรรยานายวิโรจน์ สุวรรณี โจทก์ที่ 1 ที่จำคุกอยู่เรือนจำบางขวาง กล่าวว่าครอบครัวดีใจที่สุด หลังจากรอคอยมายาวนาน ขณะนี้สามีของตนติดคุกมากว่า 4 ปีแล้ว เมื่อคำตัดสินของศาลออกมาแบบนี้ ก็จะมีผลดีต่อตัวสามีในการที่จะขอรื้อฟื้นคดีใหม่ ซึ่งต้องปรึกษากับทนายความอีกครั้งหลังจากนี้.