“บิ๊กป้อม” แจงเหตุ “น้องเมย” เสียชีวิตเพราะสุขภาพไม่ดี ยันอวัยวะหายไม่ได้เป็นการปกปิดข้อมูล ลั่นเป็นนักเรียนเตรียมทหารต้องแกร่งพร้อมถูกซ่อม ผบ.ทหารสูงสุดปัดเป็นฮีทสโตรก ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงข้อความว่อนโซเชียลโดนรุ่นพี่ซ่อม ขณะที่สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า เตรียมส่งคืนสมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร ให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์สาเหตุเสียชีวิต คาดรู้ผลภายใน 1 สัปดาห์ แพทย์เผยการเก็บอวัยวะศพทำได้โดยไม่ต้องบอกญาติ เหตุเป็นคดีเพื่อประโยชน์ทางกระบวนการยุติธรรม

ยังคงเป็นที่จับตากรณี นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ครอบครัวออกมาแถลงข่าวขอความเป็นธรรม คาดอาจถูกลงโทษทางวินัยจนเกินกว่าเหตุ รวมถึงอวัยวะบางส่วนของศพ ประกอบด้วย สมอง หัวใจ และกระเพาะหายไป ขณะที่กองทัพออกมาชี้แจง ระบุสาเหตุการเสียชีวิตมาจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ไม่ได้เกิดจากการถูกซ่อมทางวินัย พร้อมทำตามขั้นตอนมาตรฐานการแพทย์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 พ.ย. ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิต บิดามารดานำร่างไปชันสูตรและพบว่าอวัยวะภายในหายไป รวมถึงยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิต ว่าทางกองบัญชาการกองทัพไทยชี้แจงไปหมดแล้ว รวมถึงมีกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน และแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ทุกอย่างว่าไปตามระเบียบและกฎหมาย แพทย์ได้ประสานไปยังผู้ปกครองให้รับอวัยวะภายในคืนแล้วหลังการพิสูจน์ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ผ่านมา 1 เดือน ทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ติดต่อพูดคุยกับครอบครัว รวมถึงการช่วยเหลือจัดงานฌาปนกิจ ตนเห็นใจกับครอบครัวเพราะลูกชายเพียงคนเดียวพ่อแม่ก็ต้องเสียดาย ทั้งยังเป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วย

...

พล.อ.ประวิตรกล่าวต่อว่า ยืนยันว่าเรื่องชิ้นส่วนอวัยวะที่ถูกตัดไปพิสูจน์นั้นไม่ได้เป็นการปกปิดข้อมูล และพนักงานสอบสวนได้รายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ ทางพ่อแม่ไม่ได้แจ้งมาเช่นกันว่ายังไม่ได้รับชิ้นส่วนดังกล่าวคืน ยืนยันว่าเด็กเสียชีวิตเนื่องจากสุขภาพของเด็กเอง ไม่มีการซ่อม หรือธำรงวินัยทั้งสิ้น เขาป่วย และเชื่อว่าทางโรงเรียนไม่ได้ปิดบังข้อมูล เมื่อถามว่าหากเด็กสุขภาพไม่ดีทำไมถึงเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนอยากทราบเช่นกัน ตอนรับสมัครมีแพทย์ตรวจคัดกรองแล้วแต่อาจมาเป็นช่วงเข้าเรียน เด็กเป็นโรคฮีทสโตรกโรคนี้เกิดจากการฝึก แม้แต่ยืนตากแดดเฉยๆก็เป็น เพราะอากาศร้อน ส่วนบันทึกของเด็กที่ระบุว่าโดนซ่อมนั้น นักเรียนเตรียมทหารโดนซ่อมกันทุกคน ตนเคยโดนมาเหมือนกัน

พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด เปิดเผยว่า นักเรียนเตรียมทหารคนดังกล่าวไม่มีสภาวะการเป็นโรคฮีทสโตรก ทางแพทย์ที่ดูแลชี้แจงแล้วแต่คาดว่าน่าจะมีโรคประจำตัว แต่การเป็นโรค ประจำตัวนั้นไม่ได้ร้ายแรง และขัดต่อการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ทั้งนี้ ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน กรณีที่มีไลน์ของเด็กหลุดและระบุว่าถูกรุ่นพี่ซ่อมเพื่อหาข้อเท็จจริง บางครั้งการซ่อมเป็นเรื่องของการอบรมวินัย นักเรียนเตรียมทหารเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการซ่อม เพราะเป็นการสร้างวินัยในการแปรสภาพจากพลเรือนไปสู่การเป็นทหาร แต่ไม่สามารถซ่อมเกินกรอบที่กำหนดเอาไว้ได้ หากเป็นเช่นนั้นถือว่ามีความผิด ขณะนี้เราต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะข้อข้องใจของครอบครัวเราจะชี้แจงทั้งหมด

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการซ่อม หรือธำรงวินัยในโรงเรียนเตรียมทหารว่า ระบบธำรงวินัยเป็นการทำโทษด้วยการออกกำลังกาย ไม่ใช่การทำร้ายกัน หากทำถูกต้องตามหลักเชื่อว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่จะเป็นการเสริมสร้างนักเรียนเตรียมทหารให้มีความเข้มแข็ง และไม่น่าจะทำให้เกิดอันตราย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ต้องสืบสวนสอบสวนให้เกิดความยุติธรรม

ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.กล่าวว่า ในส่วนของตำรวจเบื้องต้นดำเนินการในเรื่องของสำนวนการชันสูตรพลิกศพ เท่าที่ทราบกองทัพยังไม่มีการประสานอะไรมา โรงเรียนเหล่ามีลักษณะคล้ายๆอย่างนี้เป็นประจำอยู่แล้ว และมีกระบวนการของเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ถ้าญาติยังติดใจก็สามารถแจ้งความได้

ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (สนว.) นายสมณ์ พรหมรส ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะโฆษก และ พญ.ปานใจ โวหารดี ผอ.กองส่งเสริม และพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะรองโฆษก ร่วมแถลงข่าวการผ่าพิสูจน์ชันสูตรศพ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 หลังพนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ จ.นครนายก ส่งเรื่องให้ผ่าชันสูตรรอบที่ 2

นายสมณ์เปิดเผยว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์รับเรื่องจากพนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ จ.นครนายก วันที่ 25 ต.ค. ให้ตรวจผ่าชันสูตรศพ นตท.ภคพงศ์ ครั้งที่ 2 ต่อมาวันที่ 27 ต.ค. ทางสถาบันฯรับเรื่องไว้ จนวันที่ 30 ต.ค. ตั้งคณะแพทย์ที่เชี่ยวชาญ 3 คน ตรวจผ่าศพจนวันที่ 1 พ.ย. ทีมแพทย์ได้ดำเนินการผ่าพิสูจน์ปรากฏว่าไม่พบอวัยวะภายในร่างกายของศพบางส่วน ประกอบด้วย สมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร จากนั้นวันที่ 3 พ.ย. สถาบันฯได้ประสานให้พนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ ดำเนินการติดตามหาอวัยวะ โดยวันที่ 23 พ.ย.นี้ ทางสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า จะนำอวัยวะทั้ง 3 ชิ้น ส่งกลับมาให้ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์ จะทราบผลการตรวจใน 1 สัปดาห์

นพ.ไตรยฤทธิ์เผยว่า การเสียชีวิตมี 2 แบบ คือ 1.การเสียชีวิตตามธรรมชาติโดยป่วยตาย หมอจะวินิจฉัยเพิ่มโดยผ่าชันสูตร ต้องมีการขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากญาติ แต่การผ่าพิสูจน์อาจยังวินิจฉัยไม่ได้ในทันที อาจขออวัยวะมาตรวจสอบให้ละเอียด มีกระบวนการหลายขั้นตอน และ 2.การเสียชีวิตไม่ใช่แบบธรรมชาติ เช่น ถูกคนอื่นฆ่าให้ตาย หรือโดยสัตว์ทำ อุบัติเหตุ หรือไม่ปรากฏเหตุ โดยแพทย์สามารถผ่านำชิ้นเนื้ออวัยวะไปตรวจสอบได้ หากอวัยวะใดน่าจะมีประโยชน์จะต้องมีการขออนุญาตจากญาติเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน แนวทางปฏิบัติของแพทย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ในความจริงแล้วสามารถนำอวัยวะไปตรวจสอบได้ตามหลักการ

...

พญ.ปานใจกล่าวว่า การเก็บชิ้นอวัยวะของศพ แพทย์สามารถเก็บได้โดยไม่ต้องแจ้งญาติ แต่จะดูความสำคัญในขณะนั้นเป็นอันดับแรกว่าแพทย์จะนำไปตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร ในประเทศไทยยังไม่มีแผนปฏิบัติว่าจะต้องแจ้งญาติทุกครั้ง แต่เพื่อให้สบายใจทุกฝ่ายก็ควรแจ้งให้ญาติทราบ

ขณะที่ ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจ กุสลานันท์ อดีตหัวหน้าภาควิชานิติเวช คณะแพทยศาสตร์ศิริราช กล่าวถึงกรณีมาตรการชันสูตรศพนักเรียนเตรียมทหาร ว่าการเก็บชิ้นเนื้อหรืออวัยวะของศพที่เสียชีวิตโดยปกติ จะทำให้ในรายที่มีความสงสัย เช่น เสียชีวิตผิดปกติ หรืออายุน้อย ไม่ค่อยทำในรายผู้เสียชีวิตที่มีอายุมาก หรือมีรอยโรคชัดเจน โดยการเก็บจะเก็บอวัยวะหลักคือ สมองและหัวใจ สำหรับการเก็บสมอง ต้องทำความเข้าใจว่า เนื้อผิวของสมอง เป็นลักษณะเนื้อนุ่ม เป็นไขมัน อ่อนนิ่ม การตรวจสมองจึงต้องมีการนำสมองมาแช่ในน้ำยา ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้เนื้อสมองแข็งตัว จากนั้นจึงจะทำการผ่าตัด เก็บชิ้นเนื้อ เพื่อดูเส้นเลือดในสมองว่ามีการแตก หรือโป่งพองหรือไม่ เพื่อให้เห็นรายละเอียด ส่วนหัวใจก็เช่นกัน จะดูว่ามีการแตก หรือตีบตันหรือไม่

ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจกล่าวต่อว่า สำหรับขั้นตอนการเก็บชิ้นเนื้อ ส่วนใหญ่แพทย์ผู้ทำการเก็บจะแจ้งกับญาติผู้เสียชีวิตด้วยวาจาว่าจะมีการเก็บ แต่จะไม่ได้ลงรายละเอียด ไม่มีการลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดตามมาได้ ทั้งนี้ หลังจากการเก็บตัวอย่างอวัยวะ หรือชิ้นเนื้อไปแล้วจะแจ้งญาติให้มารับอวัยวะกลับ หรือบางคนไม่มา นิติเวชที่ชันสูตรจะรวบรวมอวัยวะเหล่านั้นไปทำการฌาปนกิจพร้อมกัน บางชิ้นนำเก็บไว้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาต่อ ส่วนกรณีพบกระดาษทิชชูในสมองนั้น คาดว่าทำไปเพื่อให้เกิดความสวยงามในระหว่างการเย็บศพ เพราะหากเอาสมองออกไป ชิ้นส่วนตรงนั้นก็จะยุบหายไม่สวยงาม

...

“กรณีที่ศพเป็นคดีหรือพนักงานสอบสวนส่งศพให้มีการพิสูจน์ แพทย์สามารถเก็บอวัยวะผู้เสียชีวิตได้โดยไม่ต้องแจ้งญาติ เพื่อประโยชน์ทางกระบวนการยุติธรรมและผู้เสียชีวิตเอง แต่เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หากญาติมีความประสงค์รับคืนจะต้องคืนให้ญาติ กรณีนักเรียนเตรียมทหารถือเป็นคดี เพราะยังไม่ปรากฏเหตุการตายที่แน่ชัด” ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจกล่าว