โฆษกกองทัพไทย แจงยิบเหตุเสียชีวิต "นตท.ภคพงศ์" ยันไม่ได้ถูกทำร้าย เสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ส่วนกรณีที่อวัยวะภายในของผู้เสียชีวิตหาย ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์
เมื่อวันที่ 21 พ.ย.60 ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ถ.แจ้งวัฒนะ พล.ท.ณตฐพล บุญงาม เจ้ากรมข่าวทหาร ในฐานะโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พล.ต.กนกพงศ์ จันทร์นวล ผบ.โรงเรียนเตรียมทหาร พ.ท.นรุฏฐ์ ทองสอน นายแพทย์นิติเวช รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ และ พ.อ.การุณย์ สุริยวงศ์พงศา ผอ.กองการแพทย์ ร.ร.เตรียมทหาร ร่วมกันแถลงข่าวจากกรณีที่ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและภายหลังครอบครัวของ นตท.ภคพงศ์ ได้เข้าร้องต่อสื่อมวลชนว่า อวัยวะภายในบางส่วนของลูกชายหายไปนั้น
พล.ท.ณตฐพล กล่าวว่า กองบัญชาการกองทัพไทย รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียทรัพยากรอันมีค่ายิ่งของกองทัพ ซึ่งถือเป็นอนาคตของกองทัพ ทั้งนี้ นตท.ภคพงศ์ ได้บรรจุเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารเข้าเรียนหนังสือรวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมทางการทหารตามปกติมาโดยตลอด มีสภาพร่างกายกายแข็งแรง มีเพียงการเจ็บป่วยธรรมดาทั่วไป ซึ่งได้เข้ารับการรักษาที่กองแพทย์ โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นครั้งคราว จนกระทั่งเมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 ต.ค.2560 เวลาประมาณ 07.00 น. ได้มีการทำกิจกรรมทางการทหารตามปกติเป็นส่วนรวม นตท.ภคพงศ์ มีอาการเป็นลมและถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่กองแพทย์ฯ จนร่างกายเป็นปกติ จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 17 ต.ค.2560 นตท.ภคพงศ์ และเพื่อนได้กลับไปเอาของใช้ส่วนตัวที่กองพันนักเรียนของตนเองและกลับไปยังกองแพทย์ฯ อีกครั้ง ซึ่งระหว่างทางมีอาการเป็นลม เจ้าหน้าที่กองแพทย์จึงได้ไปรับตัวมารักษาอาการที่กองแพทย์ต่ออีกจนอาการดีขึ้น และสามารถเดินเองได้ แต่ต่อมาในช่วงบ่าย นตท.ภคพงศ์ ได้ใช้โทรศัพท์สาธารณะที่กองแพทย์ หลังจากนั้นมีอาการเครียดและหมดสติ
...
ทางแพทย์ได้เข้าดูอาการ เห็นว่าไม่ดีขึ้นจึงนำส่งต่อโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ในเวลาประมาณ 16.12 น. ซึ่งแพทย์พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ และได้แจ้งให้ผู้ปกครองของ นตท.ภคพงศ์ ทราบโดยทันทีและต่อเนื่อง จนได้เสียชีวิตเมื่อเวลา 20.24 น. ต่อมาได้นำร่าง นตท.ภคพงศ์ ส่งตรวจที่สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารบก ตามขั้นตอนมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุการตายตามกรรมวิธีในการตรวจทางการแพทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผลการตรวจพบว่า นตท.ภคพงศ์ ได้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ประสานกับผู้ปกครอง และให้ความช่วยเหลือ ดูแลการจัดการพิธีศพอย่างเต็มขีดความสามารถทุกขั้นตอน ขอยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของทางโรงเรียนและการรักษาพยาบาลนักเรียน และขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และขอยืนยันว่ายังคงให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.กนกพงศ์ กล่าวว่า ตนได้เข้าชี้แจงกับ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด กรณี นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตหลังจาก นายพิเชษฐ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ บิดามารดานำร่างไปชันสูตรและพบว่าอวัยวะภายในหาย และยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิต "ผบ.ทหารสูงสุด ได้เรียกผมให้เข้าไปชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดในวันนี้ พร้อมทั้งชี้แจงให้สังคมทราบโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญและเป็นประเด็นที่คนสงสัย ส่วนกรณีที่อวัยวะภายในของผู้เสียชีวิตหายนั้น ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์" พล.ต.กนกพงศ์ กล่าว
พล.ต.กนกพงศ์ กล่าวว่า ในวันที่น้องเมยเสียชีวิต ตนอยู่กับบิดามารดา และได้พูดคุยกับคุณพ่อมาโดยตลอด ซึ่งการที่คุณพ่อนำศพไปชันสูตรอีกครั้ง ก็ไม่ได้แจ้งกับตนให้รับทราบ การเสียชีวิตของน้องเมย เป็นการเสียชีวิตที่ผิดตามธรรมชาติ เราก็ได้แจ้งให้ทางตำรวจนำศพของน้องเมยไปชันสูตรและทางคุณแม่ก็รับทราบ โดยในขณะนั้นมีแพทย์ทางโรงพยาบาล มีตนและคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม ซึ่งคุณแม่ก็เต็มใจที่จะให้มีการชันสูตร
"ผมได้บอกกับทางคุณพ่อคุณแม่ว่าต้องเรียกตำรวจมาชันสูตรพลิกศพ และเมื่อได้รับความยินยอมจากครอบครัว ตำรวจจึงได้ส่งศพไปชันสูตร ซึ่งถือเป็นความเข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว ทั้งโรงเรียน ครอบครัวของเด็ก รวมถึงตำรวจ ซึ่งตรงนี้สามารถตรวจสอบได้ ส่วนกรณีที่ทางคุณพ่อคุณแม่นำศพไปชันสูตรอีกรอบนั้นผมไม่ทราบ เพราะผมไปร่วมงานศพทุกคืน จนถึงวันเผาศพ มีทั้งเพื่อนนักเรียนและอาจารย์ไปร่วม" พล.ต.กนกพงศ์ กล่าวและว่า ตนเพิ่งมาทราบทีหลังว่าทางคุณพ่อคุณแม่ได้นำศพของน้องไปชันสูตรอีกครั้ง และทางครอบครัวของน้องเมยเดินทางมาพบตน เพื่อขอให้ตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวมันเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้หลังจากพบผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้วคงจะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าในส่วนกรณีที่ทางพ่อแม่น้องเมย ติดใจเรื่องการทำโทษบุตรชายนั้น ยืนยันว่าขั้นตอนของการลงโทษเป็นไปตามขั้นตอนทางทหาร คือห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน เพราะผิดกฎหมาย.