ก่อนจะเริ่มเป็นนักเทรดเงินดิจิตอล ต้องเข้าใจเรื่องของเงินดิจิตอล (Cryptocurrency) กันให้ดีก่อน หลายคนเรียกเงินดิจิตอลอย่างติดปากว่า Bitcoin เพราะ Bitcoin (BTC) เป็นเงินดิจิตอลสกุลแรกของโลกและได้รับความนิยมสูงสุด (เหมือนที่เราติดปากเรียกเครื่องถ่ายเอกสารว่า Xerox นั่นละครับ) โดยหลายประเทศให้การยอมรับ Bitcoin อย่างเป็นทางการและร้านค้าหลายแห่งทั่วโลกเปิดให้ชำระเงินด้วย Bitcoin แล้ว ซึ่ง ณ​ วันนี้สกุลเงินดิจิตอลมีเป็นหลักพันสกุลและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสกุลที่ได้รับความนิยมในการใช้และเทรดอื่นๆ เช่น Ethereum (ETH), Ripple (XRP), Litecoin (LTC) เป็นต้น

เงินดิจิตอลเกิดขึ้นได้จากเทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำธุรกรรมระหว่างกันไม่จำเป็นต้องมี “ตัวกลาง” เหมื่อนเมื่อก่อน โดยระบบเดิมจะมีตัวกลางสำหรับทำหน้าที่ในการยืนยันธุรกรรม ดังที่เราเห็นบนบัตรเครดิตว่า Verified by หรือ Secured by (ตามด้วยชื่อตัวกลาง) ก็เพราะตัวกลางเหล่านี้ทำหน้าที่ตรวจสอบและดูแลความปลอดภัยของธุรกรรมนั้นๆ ซึ่งการทำธุรกรรมที่ผ่านตัวกลางแบบนี้ทำให้มีต้นทุนที่สูง (เหมือนที่บางร้านค้าจะกำหนดขั้นต่ำหรือเก็บเงินเพิ่มหากลูกค้าใช้บัตรเครดิตนั่นละครับ) และต้องอาศัยความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวกลางนั้นๆ

แต่เทคโนโลยี Blockchain จะทำธุรกรรมผ่านระบบที่ทำให้สามารถขอการยืนยันและยอมรับจากคนในเครือข่ายทุกคนได้โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ซึ่งผมมองว่ามีความปลอดภัยกว่าระบบตัวกลางเดิม เพราะหากกระบวนการของตัวกลางมีข้อผิดพลาดที่เดียว ธุรกรรมก็ผิดพลาดตามทันที เทียบกับระบบ Blockchain ซึ่งเป็นการยากที่กระบวนการของทุกคนในเครือข่ายจะเกิดข้อผิดพลาดพร้อมๆ กันหมด

การทำธุรกรรมโดยระบบที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางในการยืนยันนี้ นอกจากจะปลอดภัยกว่าระบบเดิมแล้ว ยังมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย เห็นได้ชัดจากทำธุรกรรมข้ามประเทศจะมีความรวดเร็ว ไม่ต้องรอเคลียริ่งหลายชั่วโมงหรือเป็นวันๆ และต้นทุนหรือค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเดิมมาก จึงทำให้การใช้เงินดิจิตอลได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

...

สำหรับตัวกลางในการออกสกุลเงินหรือควบคุมค่าเงินปกติคือธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติ โดยแบงก์ชาติมีหน้าที่บริหารนโยบายให้เหมาะสม ให้ค่าเงินไม่ผันผวนจนเกินไป เพราะหากนโยบายผิดพลาดถึงขั้นค่าเงินตกฮวบฮาบก็จะทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้ดังที่เห็นในประวัติศาสตร์ของหลายประเทศ แต่สกุลเงินดิจิตอลนี้คือการ “Back to Basic” กลับมาที่หลัก Demand-Supply พื้นฐานอย่างแท้จริง กล่าวคือถ้าคนในเครือข่ายมี Demand (ความต้องการซื้อ) มากกว่า Supply (ความต้องการขาย) มูลค่าของเงินดิจิตอลสกุลนั้นจะสูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าในเครือข่ายมีความต้องการขายมากกว่าความต้องการซื้อ มูลค่าของเงินดิจิตอลสกุลนั้นก็จะลดลง การที่ไม่มีตัวกลางคอยควบคุม (หรือแทรกแซง) นั้น มีทั้งข้อดีคือมูลค่าแปรตามความต้องการอย่างแท้จริง

และข้อเสียคือไม่มีใครสามารถช่วยชะลอความเสียหายในกรณีที่มูลค่าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว โดย ดร.สันติธาร เสถียรไทย ได้ให้ความเห็นไว้ว่าระบบสกุลเงินดิจิตอลนี้เป็นการใช้ปรัชญาของ “ประชาธิปไตย” และ “การกระจายอำนาจ” โดยการตัดสินใจในกฎกติกาต่างๆ ล้วนขึ้นกับคนในเครือข่ายโดยตรงผ่านเทคโนโลยี

ถึงแม้การใช้เงินดิจิตอลจะดูเหมือนว่า “Back to Basic” แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ใครจะออกสกุลเงินดิจิตอลก็ทำกันได้ หรือจะทำให้เกิดการยอมรับกันได้ง่ายๆ นะครับ โดยการออกสกุลเงินดิจิตอลใหม่นี้เรียกกันว่า Initial Coin Offering (ICO) ซึ่งติดตามได้ในตอนต่อไปว่ามีกระบวนการอย่างไรสกุลเงินนั้นถึงจะเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ใช้และนักเทรดครับ

คอลัมน์ “เศรษฐีคีย์บอร์ด”

คอลัมน์ “เศรษฐีคีย์บอร์ด” โดย ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ หรือ ดร.เรือบิน (www.thuntee.com) ที่จะมาแชร์ประสบการณ์และเทคนิคการใช้เทคโนโลยีสำหรับคนทำธุรกิจ งานอิสระ หรือคนที่กำลังหาช่องทางเพิ่มเติมจากงานประจำ เพื่อให้เกิดกำไรสูงสุดทั้งเป็น “ตัวเงิน” และ “ความสุข” หากท่านผู้อ่านสนใจเรื่องใด สามารถเสนอหรือพูดคุยทาง www.facebook.com/drthuntee กับเขาได้เลย