ระบบสุขภาพที่ผ่านมาในประเทศ ต้องทราบข้อจำกัดทั้งในด้านการรับรู้ การป้องกันตนเองโดยได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง การที่ต้องมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันของคนทั้งประเทศ และการรับรู้ข้อจำกัดในงบประมาณ

เนื้อหาทางด้านล่างเป็นการวางระบบของประเทศอังกฤษซึ่งมีประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทยแต่มีการรักษาได้เกือบทุกชนิดที่มีรายงานความก้าวหน้าแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงมหาศาลก็ตาม (ขณะนี้เริ่มประสบปัญหาเช่นกัน)

งบ NHS หรือ national health service ของอังกฤษ ซึ่งมีประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทย แต่มีงบปีละประมาณ 120,000 ล้านปอนด์ (คูณด้วย 43 เป็นเงินบาท=5,160,000 ล้านบาท) ในขณะที่ประเทศไทย อยู่ที่ 200,000 ล้านบาท และไม่มีงบค่าชดเชยความเสียหายกำหนดไว้

ด้วยงบดังกล่าวการรักษาจะได้ระดับที่ควรจะเป็น หรือสูงกว่าระดับมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมะเร็ง เรื่องของโรคทางสุขภาพอื่นๆทั้งหมด อย่างที่อยากได้ตามตำรา

ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะมีการวางรากฐานการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานมานานนับ 10 ปี โดยมีหมอประจำเขตคอยดูแลเหมือนหมอชุมชนตั้งแต่ให้คำแนะนำ การฉีดวัคซีน การฝากท้องและการรักษา และจะกำหนดตัดสินว่าเมื่อใดควรจะเข้าโรงพยาบาล หรือตรวจกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพราะฉะนั้น หมอชุมชนจะทราบขีดจำกัดของตนเองเป็นอย่างดี การเข้าโรงพยาบาลจะกำหนดตามโรคใดโรคหนึ่งซึ่งมีอาการเด่น

...

หมอชุมชนที่ว่า มีฝีมือมากและมีคุณภาพสูง อีกทั้งได้รับการยกย่องจากระบบสาธารณสุขของรัฐและมีค่าตอบแทนตามส่วนของงานที่ทำ นอกจากนั้นนักเรียนแพทย์จะต้องอยู่กับหมอชุมชนทุกสัปดาห์อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้งตั้งแต่ปีแรกของการเรียนแพทย์ในขณะที่ยังไม่ได้ขึ้นไปฝึกดูคนไข้ในหอผู้ป่วยที่โรงพยาบาล โดยหมอชุมชนจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นถ้ามีนักเรียนแพทย์เข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบมากขึ้นและต้องประเมินนักเรียนแพทย์ด้วย

ดังนั้น นักเรียนแพทย์ทุกคนจะสามารถซึมซับความสำคัญของการดูแลตนเองและความสำคัญของการที่ต้องมีหมอชุมชนและการที่ต้องใช้ยาและการตรวจด้วยเครื่องมือต่างๆอย่างคุ้มค่า ทั้งนี้ เนื่องจากเงินของทั้งประเทศจะนำมาใช้จ่ายในการนี้ทั้งหมด

ลักษณะนี้จะแตกต่างกับในสหรัฐฯ ซึ่งมีการปฏิบัติงานแบบป้องกันตัว ตรวจทุกอย่างเพื่อป้องกัน เมื่อเกิดมีการฟ้องร้องแพทย์ในอังกฤษไม่ต้องมีประกันแบบในสหรัฐฯ เพราะทำงานให้รัฐ ภายใต้ NHS ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยรัฐจะจัดสรรปริมาณกำลังคน กำลังเครื่องมืออุปกรณ์ สถานที่ให้พอเหมาะและกำหนดเวลางานชัดเจน

ในกรณีที่เกิดความเสียหาย แพทย์ไม่ใช่เป็นคนจัดการ รัฐเป็นคนจัดการ ทั้งนี้ โดยการประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ระดับของโรงพยาบาลรัฐนั้นๆ โดยมีนักกฎหมายของโรงพยาบาลนำข้อมูลการรักษาทั้งหมดที่ได้ทำการสืบสวนแล้วจากผู้รักษา และคณะของโรงพยาบาลนั้นๆทำการหารือ แจ้งกับผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายและประเมินค่าใช้จ่าย โดยรัฐจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ในกรณีที่ไม่ผิดก็คือไม่ผิด และคนรักษาไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนป่วย งบเสียหายขึ้นอยู่กับปีต่อปี เอาจากงบรวม ปีที่แล้วคือ 2016 จ่ายค่าชดเชยผู้เสียหาย 1,500 ล้านปอนด์ ต้องไม่ลืมว่า 1 ปอนด์เท่ากับ 43 บาท

การที่อังกฤษสามารถมีระบบสุขภาพที่ชัดเจนและครอบคลุมได้ทั้งหมดเนื่องจากประชาชนจะเริ่มถูกเก็บภาษีสำหรับการรักษาตัวเองตั้งแต่เดือนแรกที่มีรายได้โดยจะถูกหักอย่างน้อย 10% และอาจมากกว่านี้

และอีก 30% หรือมากกว่าขึ้นกับปริมาณของรายได้เป็นภาษีเข้ารัฐในการอื่นๆ

เงินที่ถูกหัก 10% นี้จะรวมเข้ากันเพื่อเป็นงบของประเทศทั้งหมดทางระบบสุขภาพ และประชาชนจะได้รับการรักษาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ในกรณีที่บุคคลนั้นๆถึงกับทุพพลภาพ หรือต้องเข้าอยู่ระยะยาวหรือถาวรในสถานผู้ป่วย พักยาว เช่น สถานคนชรา คุณภาพของเนิร์สซิ่งโฮมจะขึ้นอยู่กับว่าเงินที่ถูกหักไป 10% นี้จะมากน้อยเพียงใด จนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายที่ไม่มีรายได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐาน แต่ถ้าเงินที่ถูกหักมีเยอะ สภาพการดูแลก็จะดีขึ้นตามระดับ

หมอจะมีการประกันตนในเรื่องความเสียหายต่อเมื่อทำงานกับสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น

จากที่เล่ามาดังข้างต้น จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาหลาย 10 ปีที่ผ่านมา การจัดวางระบบสุขภาพและสาธารณสุขของประเทศไทย อาจเป็นการคิดในทางบวกทางเดียว ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการเตรียมพร้อมอย่างดีในการป้องกัน ทั้งในเรื่องการระวังสุขภาพของตนเองของประชาชน การเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนเป็นหมอ และจากผลของการที่ขาดทั้งบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ สถานที่ และความคาดหวังที่จะให้คุณภาพและการรักษา การใช้ยา เป็นไปตามระบบของต่างประเทศ โดยมิได้พิจารณาให้ถ่องแท้ในสภาวการณ์ปัจจุบันว่า ผลของการป้องกันที่ไม่ประสบผลสำเร็จนัก การเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรคและเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องหยุดยั้งการดำเนินของโรคให้ได้ กลับปรากฏว่าผู้ป่วยเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงสถานพยาบาลของรัฐที่มีคนป่วยเต็มขั้น อาการหนักรวมทั้งมีสภาพแทรกซ้อนไปสู่อวัยวะต่างๆ เหล่านี้ทำให้การรักษากลับต้องใช้งบเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล

การเริ่มหมอชุมชนที่คุณภาพสูงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ภาวะวิกฤติในปัจจุบันอาจต้องได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ โดยประชาชนต้องรับทราบความเป็นจริง รวมทั้งการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นและการชดใช้ อาจเป็นความรับผิดชอบของรัฐ เสมือนดังที่ใช้ปฏิบัติในประเทศอังกฤษ

ระบบสุขภาพและสาธารณสุขของประเทศไทย ถ้าเริ่มใหม่ด้วยความเข้าใจของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ควรสายเกินไป เพียงแต่ต้องคิดว่าเราร่วมทุกข์และร่วมสุขด้วยกัน ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงใด เราก็ยังคงพึ่งพาอาศัยกันได้ และใช้กำลัง สติปัญญา ทุนทรัพย์เท่าที่มีอยู่จำกัดอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด.

หมอดื้อ