เป็นทั้งนักร้องและนักแสดงที่มีฝีมือและชื่อเสียง สำหรับหนุ่ม แดน วรเวช ดานุวงศ์ ซึ่งเขาเป็นผู้ชายที่หนุ่มๆ หลายคนอิจฉา ได้ครองหัวใจนักแสดงสาว แพทตี้ อังศุมาลิน มากว่า 7 ปี ล่าสุดหนุ่มแดนได้มานั่งเล่าถึงชีวิตตนเอง ตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ ไปจนถึงเรื่องความรักกับสาวคนปัจจุบันให้ฟัง ซึ่งบางเรื่องไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน กับรายการ คลับฟรายเดย์โชว์ ทางช่อง GMM25 งานนี้แดนได้เผยอย่างหมดเปลือกว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น แม่ของฝ่ายหญิงก็ไม่เคยปลื้มตนมาก่อน

“ทำงานในวงการประมาณ 18 ปีแล้วครับ งานแรกเลยคือร้องเพลงประกอบโฆษณาเครื่องดื่ม เป็นเสียงร้องของเรา แต่เป็นหน้าคนอื่น ตอนนั้นเป็นศิลปินฝึกหัดแล้ว แค่มีเสียงตัวเองออกหน้าทีวี ก็ตื่นเต้นแล้วครับ”

เป็นคนขี้อายตั้งแต่เด็ก? “ใช่ครับ ไม่ชอบอยู่ในที่คนเยอะๆ ถ้าได้พรีเซ็นต์งานหน้าห้อง ก็จะแกล้งป่วย ส่วนโมเมนต์ที่อยากเป็นนักร้องนั้น มันมีมุมหนึ่งที่อยากจะร้องเพลงเหมือนกัน ช่วงที่เตะบอลเอ็นขาดแล้วเตะไม่ได้อีก ก็เลยอยากลองร้องเพลง รวมตัวกับเพื่อนไปเล่นดนตรี เราได้เล่นกีตาร์”

...

“ผมเป็นเด็กกิจกรรมมาแต่เด็ก เหมือนโดนบังคับมา ก็เลยเริ่มทำกิจกรรมมา สิ่งที่ไม่ชอบเลยคือ การอ่านทำนองเสนาะ เราหนีมาตลอด เพราะครูดุมาก การอ่านทำนองเสนาะในวันนั้น ทำให้ผมเป็นผมในวันนี้ รู้จักการใช้ภาษา ใช้คำที่ถูกต้อง มีการเน้นคำ เพราะเราถูกสอนมาว่า แต่ละคำมันควรออกเสียงยังไง

พอเราร้องเพลงเราก็ร้องได้เลย ทุกอย่างมันผ่านมาจากการบังคับ ผมว่ามันเป็นเรื่องดีเลย ผมว่าทุกคนควรจะผ่านเรื่องแบบนี้มา มันเป็นประโยชน์สำหรับตัวเอง ลองดู มันเป็นโอกาส และเจอสิ่งใหม่เหมือนเบื้องบนให้เรามา”

เรื่องความรัก เป็นคนขี้อาย มีรักครั้งแรกวัยไหน? “ตั้งแต่อนุบาล 1 เทอม 2 เลย แรกๆ เราร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน พอมาเจอเค้า เราหายร้องไห้เลย ตอนนี้ยังจำได้นะ เค้าเป็นหัวหน้าห้อง น่ารักดี เมื่อก่อนมันจะมีการนอนกลางวัน เราก็จะแย่งที่ให้ได้นอนใกล้ๆ เค้า ก็มีไปนอนหัวชนกันบ้าง ทำให้ได้ใกล้ๆ กัน มันจะเป็นความหวังในการมาโรงเรียน”

สเปกแบบไหนที่เราไม่เอาเลย? “เป็นเรื่องของตา มันคือการโฟกัส ต้องตาไม่ลอย เหมือนเรานั่งคุยด้วยแล้วเค้าไม่ได้โฟกัสเรา ผมไม่ชอบแบบนั้น ผมชอบคนที่ตาโฟกัสที่เรา ให้ความสนใจกับเรา ไม่เพ้อเหมือนอยู่ในนิยาย ไม่เหมือนอยู่ในละครมากไป

สเปกที่ชอบเลยคือยิ้มง่าย หัวเราะง่าย แล้วก็ไม่ขี้เม้าท์อ่ะ เพราะผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบฟังเรื่องของคนอื่น ถ้าคุยเรื่องปัญหาตัวเอง เรารับฟังได้นะ ถ้าเมื่อไหร่หยิบเรื่องคนอื่นมา เราจะเริ่มเหนื่อยแล้ว ไม่อยากฟัง ส่วนรูปร่างหน้าตาก็ได้หมดครับ”

คนที่เรียกว่าแฟนจริงๆ? “ตอน ม.4 เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนครับ เราคือเรียน ม.ปลาย แล้วต้องไปใช้ห้องน้องคนนี้ เราไปใช้โต๊ะน้องเค้าพอดี ก็เดินสวนกัน มองว่าน้องเค้าน่ารักดี เสร็จแล้วอาจารย์ก็เรียกเราไปว่า เราขีดเขียนหนังสือเค้าทำไม น้องเค้าก็ไปฟ้อง เราก็บอกว่า พี่ไม่ได้ทำ เราก็ยืนเถียงกันว่าไม่ใช่เรา สุดท้ายก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครทำ

แต่ผมรู้ว่าเพื่อนผมทำ ผมจำลายมือได้ แต่เราไม่บอกน้อง เราเคลียร์เองดีกว่า หลังจากนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นว่า มันไม่เกิดเหตุการณ์นี้นะ หลังจากนั้นผมก็เริ่มเดินผ่านหน้าห้องให้เค้าได้เห็น แต่ตึกผมอยู่หลังสุดนะ จนน้องเค้าเริ่มรู้ เราก็มีโอกาสได้คุย ก็เข้าทางเพื่อน คบกันจนจบมัธยมครับ”

ตอนนั้นเราเริ่มเข้าวงการแล้ว? “เริ่มแล้วครับตั้งแต่ ม. 5 น้องเค้าก็รู้นะ แต่เราไม่ได้คุยกับเค้าในเรื่องนี้เยอะ”

น้องคนนี้ฐานะดี แต่ติสต์มาก? “เค้าเป็นคนติดดินมาก วันไหนน้องเค้าไม่มีคนมารับล เราก้ชวนขึ้นแท็กซี่กลับ แต่เค้าไม่ยอม เค้าจะนั่งมอไซค์ รถเมล์สาย 8 บางวันก็เดินกลับ ซึ่งไกลมาก สุดท้ายผมก็มาเป็นศิลปิน น้องเค้ามางานแถลงข่าวเปิดอัลบั้มผมด้วย

มาแบบแอบๆ ตอนแรกเค้าบอกจะไม่มา หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มถอยห่างออกไป เหมือนภาพตรงนั้นไม่ใช่พี่แดนแล้ว แบบเข้าไม่ถึง และอยู่ในช่วงที่เค้าตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย เลยทำให้เค้าตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น”

หลังจากนั้นมีโอกาสได้เจอกันไหม? “ไม่มีครับ หายไปไม่ได้เจอกันอีกเลย”

...

ตอนเราดังมาก เราใช้ชีวิตยังไง เพราะดูเหมือนเราเป็นคนโลกส่วนตัวสูง? “มีความขัดแย้งมากนะครับ ไม่รู้จะทำตัวยังไง เราเป็นคนที่ไม่ได้คุยกับคนง่าย ไม่รู้จะคุยยังไง มันเกิดการเดดแอร์ขึ้นมา

ไม่รู้จะต่อยังไง มันเริ่มทำตัวไม่ถูก เลยเฟดตัวออกไป อย่างคนที่เข้ามาขอถ่ายรูป เราก็ยิ้มแล้วรีบไป ไม่ค่อยสบตา เพราะถ้าสบตา เค้าจะชวนคุย สิ่งนี้อาจจะทำให้ภาพรวมทำตัวไม่ถูก”

มีดราม่าว่าเราเป็นคนหยิ่ง? “ถ้ามีคนมานั่งด้วย ก็จะลุกเลย อย่างโซฟา ในลิฟต์ขึ้นตึก จังหวะแบบนี้มันช็อก ยิ่งเป็นคนที่รู้จักแบบเผินๆ เจอกันในลิฟต์ มือเราก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ในใจเราก็ภาวนาว่าอย่าทัก แค่สวัสดีก็จบ ถ้าเค้าคุยมาเราก็คุย ถามคำตอบคำ เพราะเราไม่รู้จะคุยอะไรต่อ

พอจะต้องอยู่เราจะหยิบหูฟังขึ้นมา ไม่เปิดเพลง เพราะถ้าเปิดเพลงเราจะไม่ได้ยินว่าเค้าพูดอะไรถึงเรา ตอนขึ้นรถตู้ก็จะนั่งหลังสุด เพราะโดนรบกวนน้อยสุดครับ ถ้านั่งข้างหน้าจะมีคนสะกิดตลอด ให้เราเปิดประตูบ้าง อะไรบ้าง ข้างหลังรถตู้เป็นที่อับสัญญาณ น้อยคนมากที่อยากจะนั่ง แต่สำหรับผม ผมนั่งเอง”

...

เราแก้ยังไง? “ผมก็โดนเรียกคุยนะ หลังจากเป็นข่าวมา ไม่ใช่แค่คนภายนอกนะที่เข้าสังคมไม่ได้ ในบริษัทก็เป็น นั่งกินข้าวคนเดียว แต่เราก้รู้แหล่ะว่ามันไม่ดี มันเสียมารยาท หลังจากโดนเรียกคุยก็ปรับทัศนคติใหม่ อย่างแรกเลยคือยิ้มไว้ก่อน เค้าบอกว่าเป็นความรู้สึกแรกไว้ก่อน ถ้าเราสบตาใครเราต้องยิ้มไว้ก่อน”

มีความไม่มั่นใจอะไรในตัวเองรึเปล่า? “คือผมไม่ได้มีความรู้รอบตัวเยอะ เช่นเรื่องที่ผมไม่ได้สนใจ ผมก็จะไม่รู้ ผมจะรู้แค่ในเรื่องที่ผมสนใจ คนที่เดินเข้ามาส่วนใหญ่

ยิ่งเป็นคนกรุงเทพฯ เค้าจะชวนคุยเรื่องไลฟ์สไตล์ที่อัพเดต แต่ผมไม่รู้จักเรื่องพวกนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้มันก็ดีขึ้น เพราะว่ามันมีเฟซบุ๊กมีอะไรขึ้นมา เราก็รู้เรื่องไปด้วย มันผ่านการแชร์”

...

อย่างเวลาที่ถูกสัมภาษณ์รู้สึกยังไง? “จังหวะนี้เป็นจังหวะเดียวกับที่เคยโดนบังคับให้อ่านทำนองเสนาะ มันเลยช่วยได้”

แดน วรเวช เป็นคนเจ้าชู้ไหม? “ผมว่าภาพในสิ่งที่มันเกิดขึ้นในช่วงชีวิตผมที่ผ่านมา ก็คงใช้คำนั้นได้ เพราะว่าเรามีการพุดคุยกับใครหลายคนเหมือนกัน ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน”

เคยหลงระเริงกับชื่อเสียงเรามั้ย กับคนที่เข้ามา? “ไม่มีครับ ผมเป็นคนที่ไม่ได้กล้าไปจีบใคร ต้องมั่นใจจริงๆ ว่าเค้าจะคุยกับเรา ถึงจะเริ่มทักทายจริงจัง และไม่เคยรู้สึกว่า เราเป็นแดน เข้ามาคุยกับเราหน่อย”

พอได้ร่วมงานกับ จ๋า ณัฐฐาวีรนุช เลยมีข่าว? “ตอนนั้นทำงานด้วยกัน เลยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนาน มันเป็นเรื่องของการพูดคุยเท่านั้น แต่ผมก็จะบอกไว้ว่าความจริงมันอยู่ตรงไหน ผมพยายามคิดว่า การคุยกับใคร อย่าให้ถึงในจุดที่มันเกลียดกัน มันจะไม่ดี”

เราเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงอยู่ด้วยยากไหม? “แดนว่าคนเราทุกคนถ้ามันเข้ากันไม่ได้ ยังไงมันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เราไม่ได้เป็นคนที่ผู้หญิงเข้าถึงยาก เค้าอาจจะไม่ใช่เคมีเดียวกันกับเรา”

กับคนปัจจุบัน เราอยู่ในวงการทั้งคู่ น้องแพทตี้? “เจอกันด้วยการเล่นซีรีส์ด้วยกัน เจอกันครั้งแรกก็ประทับใจ เพราะเค้าเรียลมาก เราเจอกันตอนที่เวิร์กช็อป เราไม่เคยเจอน้องมาก่อน หน้าโล้นมาเลยนะ เดินเข้าในห้าง เราเดินสวนไป ถึงกับต้องเอ๊ะเลย ไม่มีความเป็นดาราเลย ซึ่งเค้ามีชื่อเสียงแล้วนะตอนนั้น

เราก็รู้สึกดีนะ ประทับใจ ยิ่งพอเปิดกล้อง เราไปถึงก่อน ก็ได้เห็นเค้าขับรถมาเอง เดินแบกกระเป๋า ไม่คุยกับใครเหมือนกัน แต่เป็นสายที่ชอบหัวเราะ น้องเค้าจะนั่งขำ ใครพูดไรมาก็นั่งขำ เราก็ว่าเวิร์ก ถ้าใครพูดเรื่องคนอื่น น้องเค้าก็จะเอาหูฟังมาฟัง แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้คุยกันนะ”

เดินหน้าต่อยังไง? “จนปิดกล้องครับ เราก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า คนนี้โอเคมาก ผมว่าเค้ารู้ตอนหลังๆ นะ แต่ผมว่าใช่ว่ะ ก็เลยคุยกับช่างแต่งหน้าที่เค้าสนิทกับน้อง เราขอเบอร์จากช่างแต่งหน้า แต่เค้าไม่ให้ เค้าให้ไปขอกับน้องเอง สุดท้ายน้องเค้าก็ยอมให้มา เราก็กล้าโทร ผมคิดอยู่นานนะ จนกว่าจะโทร ผมก็โทรไป คุยกัน ก็ชวนไปกินข้าวกัน แต่เค้าคิดว่าผมโทรมาแกล้ง

จนมีงานแถลงข่าว ช่วงที่ถ่ายรูปกัน ผมก็ถามน้องเลยว่ายังไง ไปกินข้าวกันมั้ย น้องเค้าก็ยิ่งคิดว่าอำหนักเลย แต่สุดท้ายก็ได้ไปกินข้าวกัน เดทแรกก็ไม่มีอะไร เราต่างคนต่างคุยเรื่องส่วนตัวมากขึ้น สิ่งที่รู้สึกเหมือนกัน คือความเรียล ความธรรมดา ไม่มีการสร้างขึ้นมา พอได้รู้จักกัน ก่อนเป็นยังไง หลังก็เป็นอย่างนั้น

เค้าไม่จุกจิกอะไรเลย อย่างไปดูหนังกันครั้งแรก ส่วนใหญ่เค้าจะเก็บตั๋วหนัง แต่ตัวน้องเอาตั๋วหนังยัดใส่แก้ว ทิ้งเลย เรารู้สึกดีใจ เค้าไม่มีดีเทลเยอะไป บางทีดีเทลเหล่านี้มันทำให้เราเหนื่อยเหมือนกัน ถ้าเราต้องมาคอยทำทุกอย่างให้เหมือนแต่ก่อน ถ้ามาเก็บดีเทลทุกอันมันจะเหนื่อย เอาแค่ก้อนใหญ่ๆ พอ”

“เราอายุห่างกัน 7 ปีครับ แรกๆ ก็มีคนคอยเตือนน้องนะ ทุกคนเตือนเลยว่าอย่ายุ่งกับผม อย่างที่เคยเห็นผมในข่าว ซึ่งเราก็เข้าใจได้ ครอบครัวเค้าก็เหมือนกันครับ คุยมา 3 เดือน เรายังไม่ตกลงคบกันนะ จนน้องเค้านัดมาให้ทานข้าวที่บ้านเค้า ตอนนั้นเราแบบไม่ได้เป็นสายปะทะผู้ใหญ่ด้วย และเราก็ยังไม่ได้เป็นแฟนด้วย เลยรู้สึกว่า ถ้าผ่านได้ก็โอเค

พอไปเจอ แม่เค้าหน้านิ่งมาก จนทุกคนพยักหน้าส่งสัญญาณกัน ทุกคนลุกออกไป เหลือผมกับแม่ของน้องแพทตี้ 2 คน เราแบบทำยังไงดี แม่เค้าก็บอกเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ เค้าส่ายหน้า แล้วพูดว่า พอรู้ว่าน้องเป็นข่าวกับผม คนอื่นไม่ได้เหรอ แม่ไม่สบายใจเลยนะ บอกตรงๆ ผมก็บอกว่า ครับแม่ แม่บอก ดูแลกันดีๆ แล้วกันนะ แม่เป็นห่วง ผมก็ถามคุยต่อเลยใช่มั้ยแม่ แม่ก็บอก ก็คุยต่อ”

แปลว่าแม่ให้ผ่าน? “ใช่ครับ” หลังจากนั้นสบายใจขึ้นมั้ย? “ก็สบายใจขึ้นครับ” กลัวอาถรรพณ์เลข 7 ไหม ?​“ไม่ครับ เราก็คุยกันให้ทำทุกวันให้ดี ถ้าต่างคนต่างเจอใครที่ดีกว่า ก็บอกกันเลย เพราะเราเกิดมาครั้งเดียว ถ้าวันนี้คุณยังมองว่ามีคนที่ดีกว่าจริงๆ สักวันหนึ่งต้องไป แต่สำหรับผมไม่เคยมีคนแบบนั้นเลย นอกจากน้อง มองใครแล้วไม่มีใครแฮปปี้มากกว่าน้องอีกแล้วครับ”

เรื่องไหนเป็นเรื่องที่มักจะทะเลาะกัน? “มันเป็นแค่ช่วงแรกๆ ครับ ปีสองปีแรกเท่านั้น มันเป็นช่วงที่เรายังไม่รู้จักกันชัดเจน คนรอบข้างเตือนมาเยอะ บางสิ่งเค้าก็ยังไม่เข้าใจ คำว่าประชุมคืออะไร เข้าห้องอัดเสียงคืออะไร ทำไมมันรับโทรศัพท์ไม่ได้เหรอ แค่หยิบมาเปิดดูแป๊บนึงได้มั้ย”

น้องเป็นคนที่แมนมากๆ? “ครับ ก็ลุยๆ เลย สมมติผมขับรถใช่มั้ยครับ เค้ารู้สึกว่าทำไมรถพี่แดนมันกินน้ำมันเยอะจัง เค้าก็คิดว่ามันเกิดจากอะไร เค้าก็ให้เราเข้าปั๊ม เดี๋ยวหนูจะไปเติมลมยาง มันไม่กินน้ำมันแน่นอน เราก็จอดรถ เค้าก็จัดการเติมลมให้เราเอง แต่ผมก็ดูไม่ออกนะว่า มันกินน้ำมันอีกมั้ย”

มีครั้งหนึ่งแดนเคยฝากคำถามมาว่า แฟนขี้หึงมาก โดยเฉพาะเราต้องทำงานกับแฟนเก่า? “เค้าเป็นแค่ช่วงแรกครับ แต่จุดเริ่มต้นทั้งหมดที่ทำให้เกิดการหึงหวง ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากตัวเรา ถ้าเรายังไม่เปิด ยังมีกระมิดกระเมี้ยน เพราะฉะนั้นผมก็แก้ที่ตัวเรา โอเค ถ้าไม่ไว้ใจ ทำไมเราเองไม่ทำให้เค้าไว้ใจ ผมก็ไม่เคยปิดบังเค้า”

เค้ามีแพลนจะไปเรียนต่อเมืองนอก? “เค้าคิดไว้นานแล้วครับ เราก็แนะนำ เราไปแล้วมันดี น้องเป็นน้องคนเล็กเค้าก็จะปรึกษาพี่ๆ เราก็บอกให้ไป จะได้โตอีกสเตปหนึ่ง

ถามว่าห่วงมั้ย ระยะทางจะนำมาซึ่งความห่างไกลรึเปล่า ผมว่ามันเป็นเรื่องพิสูจน์ครับ จะได้รู้ตอนนี้เลย เหมือนตอนที่ผมไปเรียนที่อังกฤษ 6 เดือนด้วย ตอนนั้นมันพิสูจน์ได้เลยนะ ความรักมันแน่นขึ้น ตอนนั้นเราห่างกัน ไม่มีการทะเลาะเลย ยิ่งรู้เร็ววันนี้ มันยิ่งการันตีอนาคตครับ”

เหมือนความรักครั้งนี้ เป็นความรักที่แดนมั่นใจ? “ใช่ครับ มั่นใจที่สุดแล้ว ผมขอทำงานให้มันนิ่งที่สุดก่อน ทำทุกอย่างที่ผมอยากทำ ขอทำอย่างที่ผมอยากทำก่อน รอนิดนึงนะ ถ้าสำเร็จหมดแล้ว พี่จะโฟกัสที่น้องคนเดียว”

เคยถามน้องมั้ยว่า คุณแม่สบายใจขึ้นรึยัง? “ไม่เคยถามครับ ตั้งแต่ตอนนั้นผมรู้แล้วว่า คุณแม่เค้าเริ่มไว้ใจเราแล้ว ก็อยากจะบอกคุณแม่ว่า ตั้งแต่ ณ วันนั้นผมก็เต็มที่ ผมก็จะดูแลลูกสาวคุณแม่ให้ดีที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”.