การไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีใครรู้ว่า การตัดสินใจของเธอในครั้งนี้จะถูกหรือผิด และทำไปด้วยสาเหตุใด ซึ่งก็คงไม่มีใครรู้ว่า ถ้ารับฟังคำพิพากษาแล้ว บทลงโทษหรือผลการตัดสินของ องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 จะมีผลออกมาอย่างไร แต่เจ้าตัวนั้น น่าจะรู้ดีที่สุด เพราะหากเริ่มต้นด้วยการเลือกที่จะไม่มาตามที่ศาลนัด ชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด...
ปฐมบทของการไม่มาฟังคำพิพากษา ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นบทเริ่มต้นของชะตาชีวิตเธอ ที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดไปหรือไม่
โดยหากพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ จากการที่ส่งทนายความยื่นเรื่องต่อศาลขอเลื่อนการมาฟังคำพิพากษา โดยอ้างเหตุผลว่าป่วยด้วยอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ศาลไม่อนุญาต จนเป็นเหตุให้ออกหมายจับเพื่อมาฟังคำพิพากษานั้น เป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
...
บางกระแสคาดการณ์ไปถึงขั้นว่ามีการหลบหนีออกนอกประเทศไปเรียบร้อยแล้ว
หากเป็นเช่นนั้น ยุทธวิธี ที่จะต้องใช้ในการหลบหนีอาจจะต้องถูกกำหนด และมีการวางแผนการ โดยข้อมูลที่ทาง "ไทยรัฐออนไลน์" ได้ทราบจากหน่วยงานใกล้ชิดที่ติดตามในเรื่องนี้ และเป็นแหล่งข่าวความมั่นคงระดับสูงที่เกาะติด ยิ่งลักษณ์ ได้อ้างกับเราว่า เป้าหมายและเส้นทางการหลบหนีครั้งนี้ของ อดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย มีปลายทางสู่เมือง "ดูไบ"
เร่ิมต้นจัดฉากจาก
ข้อความสุดท้ายในวันพุธที่ 23 ส.ค. ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เจ้าตัวโพสต์ภาพทำบุญ ใส่บาตรพระสงฆ์ที่บ้านพักในช่วงเช้า ก่อนที่จะเดินทางไปทำบุญ ไหว้พระ ขอพร ที่วัดระฆัง จากนั้นในวันที่ 24 ส.ค. "ย่ิงลักษณ์" ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขอมวลชนไม่ต้องเดินทางมาให้กำลังใจที่ศาล เพราะไม่ได้เจอหน้ากัน ให้รอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน เพราะไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายที่อาจเกิดจากมือที่สาม
จากนั้นก็ไม่มีใครได้เห็น อดีตนายกฯ หญิง คนนี้อีกเลย แต่ในทางกลับกัน แหล่งข่าวจากหน่วยความมั่นคง ยังอ้างต่อว่า "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้ออกจากบ้านพักตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 23 ส.ค. โดยใช้รถยนต์ส่วนตัว ก่อนจะไปเปลี่ยนเป็นรถตู้ ที่ติดฟิล์มมืดทึบ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อใช้เป็นพาหนะในการพรางเพื่อการหลบหนี โดยใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดสระแก้วเป็นจุดหมายแรก
ก่อนจะใช้เส้นทาง ช่องทางธรรมชาติ เพื่อผ่านด่านข้ามแดนไปยังบริเวณ เมืองปอยเปต บริเวณชายแดนด่านบ้านคลองลึก แล้วต่อไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยอ้างว่ามีบุคคลระดับ VIP ทั้งของไทย และกัมพูชา ให้การต้อนรับ เพื่อต่อเครื่องบินไปยังประเทศสิงคโปร์ จากนั้นมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมารับ เพื่อไปยังจุดหมาย
โดยหน่วยความมั่นคงระดับสูง อ้างว่าประเทศปลายทางจุดหมายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะหลบหนีคือ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร รอคอยอยู่ที่นั้น
ส่วนใครจะเป็นผู้วางแผนการเดินทาง การหลบหนี การติดต่อประสานงาน คงเป็นใครไม่ได้นอกจากจะเป็น พี่ชายที่แสนดีของเธอนั้นเอง
แหล่งข่าวระดับสูงฝ่ายความมั่นคง อ้างต่อว่า การหลบหนีครั้งนี้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทยนั้น สาเหตุหลัก เพราะเจ้าตัวกังวลผลแห่งคำตัดสินครั้งนี้จะไม่มีการให้อุทธรณ์ หรือระหว่างอุทธรณ์ อาจจะไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายได้รับมา จึงอาจเป็นที่มาของการหลบหนี และให้เดินทางออกนอกประเทศ เพื่อหนีคดีจำนำข้าว ที่เจ้าตัวเชื่อว่าอาจไม่รอดในฐานความผิดดังกล่าวแน่นอน
จึงนับเป็นฉากจบของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย ที่จะปิดเส้นทางชีวิตในสนามการเมืองไทย ด้วยการหนีศาล เหมือนดังพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร
บทสรุปนี้ จึงถือเป็นบทเรียนสำคัญของ นักการเมืองไทย ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ บริหารราชการแผ่นดิน ในอนาคตต่อๆ ไป.