สนามแข่งเปิดอีกครั้ง! ..ใครจะไปคิดว่าหนังแอนิเมชั่นแอบฮิตอย่าง Cars จะเดินทางมาถึงภาคที่สาม Cars 3 หรือในชื่อไทย สี่ล้อซิ่ง ชิงบัลลังก์แชมป์ ที่ความเจ๋งของภาคนี้คือ การพาหนังแอนิเมชั่นแข่งรถไปสู่ทิศทางใหม่ ที่หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การซิ่งเพื่อเข้าเส้นชัยอีกต่อไป? ส่วนความสนุกของฉากแข่งรถและมุกตลกแบบหนังแอนิเมชั่น ก็มีให้คนดูได้บันเทิงอย่างครบถ้วน


Cars 3 สี่ล้อซิ่ง ชิงบัลลังก์แชมป์ เล่าเรื่องราวของ ไลท์นิ่ง แมคควีน รถสีแดงเจ้าความเร็วที่ยังคงซิ่งเข้าเส้นชัยจนเป็นตำนาน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป รถแข่งรุ่นใหม่ที่มีการฝึกซ้อมด้วยวิทยาการล้ำสมัย ทำให้ไลท์นิ่งต้องพ่ายแพ้และเสียความมั่นใจ เพื่อกลับมาสู่เส้นทางแชมป์ เขาจึงได้เทรนเนอร์สอนซิ่งยุคใหม่ ครูซ รามิเรซ ที่เข้ามายกระดับฝีมือ และแรงบันดาลใจจากตำนานรถซิ่ง ฮัตสัน ฮอร์เนท ผู้จากไป เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวคือการเป็นแชมป์เท่านั้น

รถแข่งรุ่นใหม่ เบียดรุ่นเก่า
รถแข่งรุ่นใหม่ เบียดรุ่นเก่า

...

แอนิเมชั่นสนุก ถึงรสถึงเครื่อง(ยนต์)

Cars 3 ยังทำได้ดีกับฉากแข่งรถซิ่งทำความเร็ว ที่ออกมาสมจริง นำเสนอมุมมองภาพที่ชวนให้ลุ้นและตื่นเต้นไปกับการแข่ง บางฉากให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขับรถแข่งเองเลย ที่ทำได้ดีเป็นพิเศษคือฉากที่รถไลท์นิ่งเกิดอุบัติเหตุในสนามที่ทำออกมาดูรุนแรงมากๆ อย่างไรก็ตามหนังก็ไม่ละเลยกับการใส่ความสนุกติดเว่อร์ๆ ในแบบหนังการ์ตูนลงไป และการดูในโรง 3 มิติ ยิ่งช่วยทำให้ฉากแข่งรถสนุกยิ่งขึ้น ใครที่จะดู Cars 3 แนะนำโรง 3 มิติเลย รับประกันความมัน ความคุ้มค่าตั๋วแน่นอน

แต่ไม่ใช่ว่า Cars 3 จะไม่มีข้อติเลย การโฟกัสเรื่องไปที่ไลท์นิ่งและครูซ ทำให้ตัวละครรองๆ ที่เคยมีบทบาทต่อเรื่องสูงใน 2 ภาคก่อน มีบทแค่นิดๆ หน่อยๆ ในภาคนี้ ใครเป็นแฟนหนังที่ชอบตัวรองๆ อาจแอบผิดหวัง รวมไปถึงมุกตลกเรียกเสียงหัวเราะ ที่ภาคนี้อาจดูน้อยไปนิด เมื่อเทียบกับหนังแอนิเมชั่นแบบ Pixar แต่ถึงกระนั้นภาพรวมของหนังก็ยังคงเป็นหนังแอนิเมชั่นที่ดูสนุกเช่นเดิม

ฉากนี้ทำออกมาสมจริง ดูเป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงมากๆ
ฉากนี้ทำออกมาสมจริง ดูเป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงมากๆ

ยุคสมัยเปลี่ยน การแข่งรถจึงเปลี่ยนไป

ดังที่ข้างต้นบอกไปว่าหนังอาจตลกน้อยลงกว่าภาคก่อนๆ นั่นก็เพราะภาคนี้เลือกที่จะมาเล่นประเด็นที่ดูจริงจังมากขึ้น อย่างเรื่องของ “ยุคสมัย” เมื่อมีรถรุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยีและสถิติเข้ามาช่วย ทำให้การแข่งขันรถซิ่งไม่ได้เกี่ยวกับทักษะการซิ่งเพียงอย่างเดียว มันยังมีเรื่องของเทคนิควิธีที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ มาปรับใช้ในการแข่งอีก ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ล้อกับวงการกีฬาในปัจจุบัน ที่ทุกการแข่งขันแวดล้อมไปด้วยตัวเลขสถิติและวิทยาศาสตร์การกีฬาไปหมดแล้ว

Cars 3 ไม่ได้สนใจว่าสิ่งใหม่หรือเทคโนโลยีเข้ามานั้นดีหรือไม่ดี แต่หนังเลือกจะเล่าถึง ชีวิตที่เคยอยู่จุดสูงสุดของคนๆ หนึ่ง แล้วต้องตกลงมาเพราะการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย โดยมี ไลท์นิ่ง พระเอกของเราเป็นสัญลักษณ์ คำถามสำคัญคือ เขาจะหาทางกลับมาชนะได้อย่างไร? เพราะนี่ไม่ใช่การแข่งซิ่งรถกับคู่ต่อสู้ แต่เป็นการแข่งกับยุคสมัย!

และนี่คือสิ่งที่ Pixar ร้ายมากๆ ที่ทำให้เราอยากกลับมาเอาใจช่วยตัวละครได้อีกครั้ง และการมีตัวละคร ครูซ รามิเรซ เทรนเนอร์นักแข่งรถยุคใหม่เข้ามา เราจึงได้เห็นการมุมมองที่แตกต่างระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ ที่ต่างก็มีข้อดีข้อเสียในตัว ซึ่งทิศทางใหม่ที่หนังเลือกจะเล่านั้นชวนติดตามมากๆ จนทำให้ลืมเรื่องของการแข่งรถชิงแชมป์ไปเลย

ครูซ รามิเรซ ตัวละครสำคัญในภาคนี้
ครูซ รามิเรซ ตัวละครสำคัญในภาคนี้

...

เส้นชัยคือจุดจบหรือจุดเริ่มต้น

ในการแข่งรถ เส้นชัยคือจุดจบ แต่กับ Cars 3 ดูจะนิยามคำว่า “เส้นชัย” เสียใหม่ และเป็นนิยามที่ส่วนตัวถือว่า “เซอร์ไพรส์” พอสมควรที่หนังเลือกจะจบตัวเองในรูปแบบนี้ ที่มันกลับไปสานต่อสาระสำคัญของหนังที่เคยมอบให้คนดูไว้ตั้งแต่ภาคแรกได้อย่างน่าประทับใจ

เทคโนโลยีล้ำๆ คู่แข่งสำคัญของไลท์นิ่งในภาคนี้
เทคโนโลยีล้ำๆ คู่แข่งสำคัญของไลท์นิ่งในภาคนี้

ไบรอัน ฟี ผู้ที่เคยวาดสตอร์บอร์ดให้กับ Cars ทั้งสองภาคก่อนหน้า ได้ถูกผลักดันให้ขึ้นมากำกับในภาคที่ 3 ซึ่งถือว่า เป็นผู้กำกับที่ยกระดับหนัง Cars ให้เติบโตขึ้น ตอกย้ำความเป็นหนังแอนิเมชั่นในแบบ Pixar ที่ให้อะไรต่อคนดูมากกว่าแค่เรื่องความบันเทิง

ใครเป็นแฟนแอนิเมชั่นเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตีตั๋วเข้าสนามได้เลย ไม่มีผิดหวัง แต่หากใครไม่เคยดูมาก่อน บอกเลยว่าพลาดมาก ควรไปดู 2 ภาคแรกไวๆ แล้วค่อยตามเข้าสนามมาละกัน

...

 

--- ชาแมน ---