ไทยวา ผลักดันเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี ก้าวสู่เกษตรยุคใหม่ เพิ่มผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพ ในสภาวะที่โลกอากาศแปรปรวน เป็น "ไทยวาโมเดล" ที่ฟื้นฟูสภาพดินปลูกให้สมบูรณ์ ใช้ท่อนพันธุ์สะอาด เทคโนโลยีวัสดุคลุมดิน และโมเดล BCG ที่นำกากมันสำปะหลังที่เหลือจากการผลิตแป้งมัน มาทำเป็นอาหารสัตว์
เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การผลักดันการเกษตรยุคใหม่ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิต ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจัยที่ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาน้ำและดินฟ้าอากาศ ที่เห็นได้ชัดคือ ผลกระทบต่อมันสำปะหลัง ที่เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจมากประโยชน์ ที่นำไปผลิตได้ทั้งอาหาร พลังงานชีวภาพ และไบโอพลาสติก สภาพภูมิอากาศแปรปรวนจากปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดฝนทิ้งช่วง มันสำปะหลังขาดน้ำ ประกอบกับการระบาดของไวรัสใบด่างในช่วงที่ผ่านมา จนชาวไร่ขาดแคลนต้นพันธุ์ปลอดโรคสำหรับเพาะปลูก ผลผลิตมันสำปะหลังของไทยจึงลดลงอย่างน่าใจหาย ปัญหานี้สั่นคลอนศักยภาพของไทยในฐานะผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังรายใหญ่ของโลกมาตลอด 20 ปี ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกต่อปีถึง 93,000 ล้านบาท
...
เมื่อพูดถึง ไทยวา คือหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งและอาหารชั้นนำ เป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่ยื่นมือเข้ามาร่วมสนับสนุนการเกษตรยุคใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์หลัก คือ Creating Innovation and Sustainability from Farm to Shelf ที่นำนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเริ่มตั้งแต่การส่งเสริมชาวไร่ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบหลัก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยวา ได้นำนวัตกรรมและองค์ความรู้มาบูรณาการจนเกิดเป็น “ไทยวาโมเดล” ที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร ด้วยการนำเอาองค์ความรู้ เทคโนโลยี มาพื้นฟูคุณภาพดิน และยกระดับการทำเกษตรกรรมตามแนวทางเกษตรยั่งยืน
นางสาวหทัยกานต์ กมลศิริสกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์ ความยั่งยืน นวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยวา เข้าใจดีถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านเกษตรกรรมไทยไปสู่ความยั่งยืนซึ่งเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมมันสำปะหลังให้เติบโตได้ในระยะยาว เราจึงได้นำเสนอไทยวาโมเดลที่บูรณาการนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมชาวไร่มันสำปะหลังซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบหลัก และไม่เพียงเพิ่มผลิตในการเพาะปลูกอาหารเท่านั้น แต่ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญต่อพวกเราทุกคน
ไทยวาโมเดล มุ่งเน้นที่การจัดการดินซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเพาะปลูก ผนวกกับการส่งเสริมการทำเกษตรอย่างมีความรับผิดชอบ ภายใต้โมเดลนี้มีเสาหลักใน 3 ด้าน ได้แก่
1.การดูแลดินด้วยปุ๋ยชีวภาพ เพราะหัวใจของไทยวาโมเดลคือการดูแลดินซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเพาะปลูก ไทยวา จึงคิดค้นปุ๋ยชีวภาพ TW8 ขึ้น เพื่อบำรุงและฟื้นฟูดิน ประกอบด้วยจุลินทรีย์ถึง 8 ชนิด ที่มีบทบาทสำคัญในการย่อยอินทรีย์วัตถุให้กลายเป็นสารอาหาร ช่วยตรึงไนโตรเจนในอากาศลงสู่ดิน และช่วยสร้างสารอาหารที่จำเป็น เช่น ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม โดยเกษตรกรสามารถผลิตปุ๋ยชีวภาพ TW8 ได้เอง โดยใช้ของเหลือทิ้งจากการเกษตรได้อย่างหลากหลาย เช่น ใบมันสำปะหลัง จึงทำได้ง่าย ช่วยลดต้นทุน แต่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการเจริญเติบโตให้กับพืช
...
2.นวัตกรรมพลาสติกคลุมดินที่ย่อยสลายได้ ไทยวา ได้แนะนำพลาสติกคลุมดิน ROSECO ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ นวัตกรรมนี้ไม่เพียงช่วยลดการใช้สารเคมีเพื่อกำจัดวัชพืช แต่ยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในดิน ซึ่งตอบโจทย์ปัญหาฝนทิ้งช่วงที่เกษตรกรไทยกำลังประสบอยู่ จึงช่วยเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อสิ้นฤดูกาลเพาะปลูกยังสามารถไถกลบฟิล์มชีวภาพ ROSECO หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งจะย่อยสลายและกลายเป็นปุ๋ยในดินที่มีประโยชน์ต่อจุลินทรีย์ แนวทางนี้ไม่เพียงสะดวกสำหรับเกษตรกร แต่ยังช่วยบำรุงดิน และลดผลกระทบจากการใช้สารเคมีอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยรับมือปัญหาฝนตกหนัก ในการปกป้องการชะล้างหน้าดิน ทำให้อัตราการรอดจากรากเน่าสูงกว่าการไม่คลุมดิน
3.ธนาคารท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ไทยวา ประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง โดยใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้จากโครงการโรงเรือนกระจกเพื่อการขยายท่อนพันธุ์มันสำปะหลังแบบเร่งด่วน ซึ่งเป็นโครงการที่ไทยวาร่วมมือกับสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย หรือ TTDI ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังได้อย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เพาะได้ครั้งละ 4-5 ท่อน เป็น 20 ท่อน ปัจจุบันไทยวามีโรงเรือนในประเทศไทยทั้งหมด 12 แห่ง ใน 3 จังหวัด ได้แก่ ระยอง กาฬสินธุ์ และตาก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญของบริษัท จึงสามารถจัดหาท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพสูงให้กับเกษตรกรในเครือข่ายได้อย่างต่อเนื่อง
...
ด้าน นายศิริเทพ ศิริวรรณ์หอม เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในอำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ชาวไร่มันสำปะหลังโดนผลกระทบมากจากภัยโลกร้อนมาก เพราะทำให้ฝนแล้ง แต่หลังจากเราลองทำตามไทยวาโมเดล หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์โดยหมักร่วมกับจุลินทรีย์ TW8 ที่ทำได้เองจึงลดรายจ่ายจากปุ๋ยและลดใช้สารเคมี ผลที่เห็นได้ชัดคือผลผลิตเพิ่มขึ้น 50% จากเดิมเฉลี่ยได้ 4 ตัน เพิ่มเป็น 6 ตันต่อไร่ ทำให้ผมและครอบครัวมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม อยากเชิญชวนชาวไร่คนอื่นๆ มาลองปลูกมันสำปะหลังด้วยโมเดลนี้ เพราะมีข้อดีมากกว่าเดิมจริงๆ
...
ไทยวา ยังยกระดับการพัฒนาด้านความยั่งยืนไปอีกขั้น ด้วยการนำ “โมเดล BCG” ที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ไปพร้อมกัน 3 มิติ มาประยุกต์ใช้ให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเน้นการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เชื่อมโยงกับ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)
ไทยวา นำกากมันสำปะหลังมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ Thai Win (ไทยวิน) เพื่อหมุนเวียนนำทรัพยากรกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่ย่อมเยาให้กับเกษตรกร นายประไพ ภูลายยาว เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกระบือสวยงามในอำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ตนหันมาใช้อาหารสัตว์ของไทยวาที่ผลิตจากกากมันสำปะหลัง เพราะชอบแนวคิดเรื่องการหมุนเวียนนำของเหลือทิ้งกลับมาสร้างคุณค่า นอกจากจะดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ลงถึง 40% จากเดิมอยู่ที่ 350 บาทต่อตัวต่อวัน ลดลงเหลือเพียง 210 บาทต่อตัวต่อวันเท่านั้น เท่ากับเราได้ผลดีถึง 3 ต่อ คือ อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพ ลดค่าใช้จ่าย และช่วยดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม.